วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แฮมเตอร์



แฮมสเตอร์

แฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง



ลักษณะทั่วไป




ลักษณะทั่วๆไปของแฮมสเตอร์ ขนาดตัวจะมีขนาดเล็ก อ้วนป้อม และมีหางสั้นกว่าลำตัว และมีขนาดเล็ก อย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีขนของแฮมสเตอร์จะมีสีหลายสี อาทิเช่น ดำ, เทา, ขาว, น้ำตาล, เหลืองเข้ม, เหลือง และแดง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์ ส่วนสีขนด้านใต้ท้องจะเป็นสีขาว มีตาดวงกลมโต และจมูกที่ไวต่อการได้กลิ่น แฮมสเตอร์จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีแกนสันหลัง ไฟลัมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม


หนูแฮมสเตอร์สามารถกินอะไรได้บ้าง

คำถามสำหรับผู้เลี้ยงที่เริ่มเลี้ยง หรือ ผู้ที่คิดจะเลี้ยงเจ้าหนูแฮมสเตอร์ ให้หัวข้อนี้เรามาทำความเข้าใจกับ อาหารของหนูแฮมสเตอร์ และ ของกินต่างๆ ที่หนูสามารถกินได้ และ สิ่งใดที่ไม่ควรให้กินกันครับ

หนูแฮมสเตอร์นั้นสามารถกินอาหาร หรือของกินได้หลากหลายชนิดครับ อาจจะพูดได้ว่าทุกชนิดเลยก็ว่าได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกพักชนิดต่างๆ ผลไม้ชนิดต่างๆและ ธัญพืช ที่หลากหลายครับ ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับหนูบ้านทั่วๆไปที่สามารถกิน แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง


แต่สำหรับหนูแฮมสเตอร์แล้ว ภูมิต้านทานไม่เท่ากับหนูบ้านทั่วๆไปครับ ดังนั้นในการเลี้ยงดูหนูแฮมสเตอร์ อาหารนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากอีกอย่างหนึ่งในการ เลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ที่ผู้เลี้ยงควรจำให้ในสิ่งที่ถูก เขากินไม่ใช่ว่าควรให้กิน ของกินบางอย่างที่หนูแฮมสเตอร์นั้นทาน หรือ ชอบกิน ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ควรให้กินนะครับ เราต้องดูถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในการให้อาหารแต่ละชนิดด้วยครับ
สิ่งที่ผู้เลี้ยงให้เป็นประจำและก็เกิดปัญหาบ่อยๆสำหรับหนูแฮม
1. ขนมห่อ & ขนมทั่วๆไป สำหรับผู้เลี้ยงบางท่านแล้วกินขนมและก็ นำขนมนั้นๆให้หนูแฮมสเตอร์กิน ซึ่งผลที่ตามมานั้นอาจจะทำให้หนูแฮมสเตอร์นั้นท้องเสีย ได้ครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาหารจำพวกนี้มีสารปรุงแต่งรสชาติ สี สารกันบูด และสารอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบ ต่อหนูแฮมสเตอร์ ไม่มากก็น้อย ซึ่ง สารบางตัวจะเข้าไปสะสมอยู่ในตัวหนูแฮมสเตอร์ แต่สำหรับบางตัวที่ร่างกายทนไม่ใหวก็อาจจะ เป็นโรคท้องเสีย บางตัวอาการหนักจนอาจจะเสียชีวิตได้ครับ
2. ผัก & ผลไม้ ค้างเก็บ สำหรับผลไม้ หรือผักบางอย่าง ผู้ให้นั้นสามารถให้ได้ครับแต่ สำหรับผักบางชนิดที่หนูแฮมสเตอร์กินแล้วไม่หมดผู้เลี้ยงควรที่จะ เก็บออกทิ้งครับ และไม่ควรให้อาหารจำพวกผัก หรือผลไม้ บ่อยๆครับ เพราะว่าอาจจะทำให้หนูนั้นท้องเสียได้ครับ ซึ่งถ้าให้แนะนำแล้ว ผักที่ให้กินได้บ่อยๆ สำหรับผมก็จะเป็น บวบเหลี่ยม แครอท ครับ เนื่องจาก 2 ชนิดนี้ถ้าหนูแฮมสเตอร์นั้นกินไม่หมด ก็จะแห้งไปเองครับ และก่อนที่จะให้อาหารจำพวกนี้ควรที่จะล้างให้สะอาดก่อนครับ

การแบ่งประเภทสายพันธุ์



- Subfamily Cricetinae
- Genus Allocricetulus
- Species A. curtatus - Mongolian Hamster
- Species A. eversmanni - Kazakh Hamster, also called Eversmann's Hamster
- Genus Cansumys

- Species C. canus - Gansu Hamster
- Genus Cricetulus
- Species C. alticola - Ladak Hamster
- Species C. barabensis, including "C. pseudogriseus" and "C. obscurus" ChineseStripedHamster, also called Chinese Hamster; Striped Dwarf Hamster
- Species C. griseus - Chinese Hamster
- Species C. kamensis - Tibetan Hamster
- Species C. longicaudatus - Long-tailed Hamster
- Species C. migratorius - Armenian Hamster, also called Migratory Grey Hamster; Grey Hamster; Grey Dwarf Hamster; Migratory Hamster
- Species C. sokolovi - Sokolov's Hamster
- Genus Cricetus
- Species C. cricetus - European Hamster, also called Common Hamster or Black-Bellied Field Hamster
- Genus Mesocricetus - Golden Hamsters
- Species M. auratus - Syrian Hamster, also called the Golden hamster or Teddy Bear hamster)
- Species M. brandti - Turkish hamster, also called Brandt's Hamster; Azerbaijani Hamster
- Species M. newtoni - Romanian Hamster

- Species M. raddei - Ciscaucasian Hamster
- Genus Phodopus - Dwarf Hamsters
- Species P. campbelli - Campbell's Russian Dwarf Hamster
- Species P. roborovskii - Roborovski Hamster, sometimes known as the Mongolian Hamster, causing confusion with Allocricetulus curtatus
- Species P. sungorus - Winter White Russian Dwarf Hamster
- Genus Tscherskia
- Species T. triton - Greater Long-tailed Hamster, also called Korean Hamster


เลือกซื้อ-หนูแฮมสเตอร์

การเลือกซื้อนะครับ ก่อนจะซื้อยากให้เพื่อนๆพร้อมที่จะดูแลเจ้าตัวเล็กนี้ก่อน เพื่อที่เวลาซื้อมาแล้วจะได้ไม่เป็นภาระ ครับ เพราะสิ่งที่คุณจะซื้อนั่นมัน "ชีวิต" นึงเลยนะครับ

เราจะดูหนูแฮมไงว่าแข็งแรงเวลาเลือกซื้อ ถ้าเป็นผมไปซื้อนะครับ ผมก็จะดูที่แววตาของหนูครับว่าสดใสหรือป่าว สภาพหนูครบถ้วน ไม่มีรอยถูกกัด หรือเลือดออกและก็ต้อง ดูตรง ก้น ด้วยครับว่า ท้องเสีย หรือเป็นโรคหรือป่าวครับ ขนล่วงหรือป่าว จะลองจับๆหนูดูงะครับ ว่าจะมี
ขนติดมากับมือเราใหม ถ้ามีก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ขนอาจจะล่วงครับ และอีกอย่าง ก็ต้องดูว่าหนูไม่ผอมงะคับ ดูอีกอย่างนะครับ ก็คือ ขนต้องไม่เหม็นนะครับอายุประมาณ 3 อาทิตย์ หรือ1เดือน คับ

เลือกดีๆนะครับ มีอีกอย่างครับ หนูที่เราซื้อมาอาจจะเป็นพี่นองกันได้ะครับ ถ้าสีและรวดรายคล้ายๆกันนะครับแพราะผมก็เป็นคนเลี้ยงหนูขายอยู่ เวลาเอาไปขายเขาก็จะจับมารวมกันใช่ไหมครับ แล้วคราวนี้ก็อยูที่คนซื้อแล้วละครับ ว่าจะเลือกตัวใหนถ้าคุณเห็นอีกตัวสวย
และอีกตัวก็สวยเหมือนกัน นั่นละคับสองตัวนั้นอาจจะเป็นคลอกเดียวกันก็ได้ครับ คราวนี้ละ พี่กับน้องก็ผสมกัน ส่วนลูกออกมาก็แล้วแต่จะคิดครับการหลีกเลี้ยงนั้นทำได้ยากครับ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าตัวไหน เป็นพี่น้องกันและเจ้าของร้าน ก็รับมาอีกทีก็ไม่รู้อีกงะว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เรื่องนี้ก็แค่เอามาบอกกันให้รู้เฉยๆนะครับ ไว้ไปหาวิธีกันเองนะครับ

หนูแฮมสเตอร์พร้อมผสมพันธุ์

หนูแฮมสเตอร์พร้อมที่จะผสมพันธุ์กันเมื่อใหร่ เพื่อนๆบางคนอาจจะอยากรู้นะครับ เพราะว่าต้องการที่จะเห็น ลูกเล็กๆ แดงๆ และ อยากที่จะเห็น ว่าเขาเลี้ยงลูกเขาอย่างไรเมื่อไหร่โต และ หน้าตาจะเป็นอย่าไรบ้าง

คำถามในหัวข้อนี่ก็ มีมาบ่อยเหมือนกันครับ ผมก็เลย ขอยกมาเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาครับ หนูพร้อมผสม หนูแฮมสเตอร์จะพร้อมผสมพันธุ์ เมื่อ เขาอายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง - 3 เดือนครับ ฟังดูเร็วๆ นะครับ เมื่อ เราเลี้ยงเขาแล้ว ก็อาจจะได้เห็นลูกเขา แน่ๆครับ ไม่ต้องห่วง นอกสะจาก ตัวทีเราซื้อมานั้น จะไม่ใช่ตัวผู้กับตัวเมีย แฮมสเตอร์ สามารถท้องซ้อนได้หากไม่แยกตัวผู้ออกจากตัวเมียหลังจากมันออกลูก เพราะเมื่อตัวเมียออกลูกแล้ว ตัวผู้ก็ยังจะผสมพันธุ์อีก ทำให้ตัวเมียท้องซ้อนขณะที่ลูกที่เพิ่งออก ก็ยังไม่หย่านม เพราะฉะนั้นต้องแยกตัวผู้ออก และไม่ควรให้ตัวเมียท้องติดกันเพราะจะทำให้ร่างกายโทรมจนไม่สามารถมีลูกอีกได้ และกลายเป็นหนูพิการที่ขาใช้การไม่ได้อีกด้วย

ของเล่นหนูแฮมสเตอร์

ของเล่นหนูแฮมสเตอร์มีอะไรบ้าง จากหัวข้อที่มีคนถามมากัน ผม ก็เลยขอจัดทำหน้านี้มาอธิบายกันหน่อย หนูแฮมสเตอร์มี ของเล่นมากมาย แทบจะบรรยายไม่ถูก แต่ ละชนิดจะมีหลากหลายรูปแบบมาก เลยครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากสร้างกรงหนูแฮมส ให้มีของเล่น เยอะๆก็ควร นึกถึงเนื้อที่ในกรง กันหน่อยนะครับ
เพราะว่า กรงบางประเภท อาจจะวางได้แค่นิดเดียว หรือไม่ กรง บางประเภท เมื่อใส่ของเล่นลงไปแล้ว หนู นั้นสามารถปีนออกมานอกกรงได้ อันนี้ก็ ต้องระวัง กันหน่อยนะครับ


1.วงล้อที่วิ่ง 2.ที่มุด / ท่อ 3.ที่ปีนป่าย / ท่อ ต่อ 4.เขาวงกต 5.ลูกบอลออกกำลังกาย 6.ไม้กระดก


อุดม แต้พานิช

อุดม แต้พานิช


อุดม แต้พานิช หรือ โน้ส เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2511
ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรของนางทองสุข แต้พานิช มีพี่น้อง 3 คน เป็นคนกลาง
ไม่สำเร็จการศึกษาจากแผนกวิชาพาณิชยศิลป์ วิทยาลัยเพาะช่าง

เริ่มงานแรกเป็นคนเขียนการ์ตูนที่ชัยพฤกษ์ ทำได้สองเดือนก็ลาออกด้วยเหตุผลที่มันไม่ตรงกับใจเท่าไร เมื่อได้อ่าน ไปยาลใหญ่ ฉบับแรกบนแผงรู้สึกถูกใจในบุคลิกของหนังสือ อยากร่วมงานด้วย ครั้งแรกไปสมัคร TRY OUT เป็นนักแสดงละครของศิษย์สะดือ ด้วยลูกตื้อและบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร จึงได้ร่วมงานกับศิษย์สะดือสมใจ ความรักของมาลัยในห้องไอซียู เป็นละครเรื่องแรกที่เล่น ได้รับบทเป็นคนแก่ในโรงพยาบาล จบจากละครก็ก้าวเข้าสู่ถนนหนังสือ ในตำแหน่งฝ่ายศิลปของไปยาลใหญ่
ที่ไปยาลใหญ่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต สังคมในไปยาลใหญ่ล้วนเป็นนักอ่านตัวยงด้วยกันทั้งนั้น อุดมได้รับอิทธิพลนี้มาและได้มาค้นพบโลกของตัวเองอีกโลกหนึ่งที่นี่ คือโลกของการอ่าน แล้วยังค้นพบความสามารถในการเขียนหนังสือ เมื่ออุดมอ่านหนังสือมากๆ จึงเกิดแรงใจอยากเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตแตงโมปั่น งานเขียนเรื่องแรกแจ้งเกิดในสนามไปยาลใหญ่นั่นเอง มี ศุ บุญเลี้ยงเป็นบรรณาธิการ หลังจากงานได้ตีพิมพ์ อุดม เริ่มรับผิดชอบคอลัมน์ต่างๆ ในไปยาลใหญ่ โดยใช้นามปากกาว่า "โน้สหน้ามึน หลานเจ๊นี้ขายผลไม้" ควบคู่ตำแหน่งฝ่ายศิลปของหนังสือ ใครที่เป็นแฟนไปยาลใหญ่คงคุ้นเคยและติดอกติดใจกับเกมส์กวนๆ ในคอลัมน์ ‘สารภีมีดีให้’ อุดมเป็นสารภีในช่วงท้ายของหนังสือก่อนที่ไปยาลใหญ่จะปิดตัวเองลง

อุดมพาความสามารถเข้าสู่เส้นทางสายบันเทิงโดยเริ่มจากเป็นตัวประกอบในรายการวิก 07 ของ เจเอสแอล และเล่นเกมส์รายการจุดเดือด ทางผู้ใหญ่ในเจเอสแอลประทับใจลีลาจึงชักชวนมาร่วมงานด้วยในรายการ ยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็นรายการ Comedian Show ที่มีความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของช่อง 5 ในยุคนั้น จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่าง เต็มตัวในชื่อ เสนาฯ โน้ส และต่อมาในยุคอดีตนั้นเคยแสดงเป็นตัวปริศนาในภาพ VTR กับคุณหมี ปลื้มที่ใช้ชื่อว่า "ปริศนา อ้วน-ผอม" ในรายการชิงร้อยชิงล้าน ของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ 17 มกราคม 2533 - 29 มกราคม 2535 ทางช่อง 7 หลังจากความสำเร็จในครั้งแรก อุดม แต้พานิช ได้ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากรายการยุทธการขยับเหงือก และได้สร้างปรากฏการณ์ขึ้นในเมืองไทย นั่นก็คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้คนไทย ได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ ในชื่อไทย เดี่ยวไมโครโฟน เป็นครั้งแรก
การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 และนี่ถือเป็นการเริ่มต้น ส่งผลให้ อุดม แต้พานิช ได้กลายเป็นตลกเดี่ยวชั้นแนวหน้าของประเทศจนเกิด เดี่ยว 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 ซึ่งมีคนรอซื้อบัตรและเข้าดูเป็นจำนวนมาก


การแสดงเดี่ยวไมโครโฟน

- ครั้งที่ 1 (เดี่ยวไมโครโฟน) 2538 เปิดการแสดงทั้งหมด 3 รอบ ทำการแสดงที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ความจุ 450 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 2 (อุดม โชว์ห่วย) 2539 เปิดการแสดงทั้งหมด 14 รอบ ทำการแสดงที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ความจุ 450 ที่นั่ง

- ครั้งที่ 3 (อุดม การช่าง) 2540 เปิดการแสดงทั้งหมด 22 รอบ ทำการแสดงที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว
- ครั้งที่ 4 (เดี่ยว 4) 2542 เปิดการแสดงทั้งหมด 28 รอบ ทำการแสดงที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ
- ครั้งที่ 5 (ฉายเดี่ยว) 2544 เปิดการแสดงทั้งหมด 30 รอบ ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 6 (ตูดหมึก) 2546 เปิดการแสดงทั้งหมด 43 รอบ ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 7 (เดี่ยว 7) 2551 เปิดการแสดงทั้งหมด 41 รอบ (ไทย 39 รอบ,ซิดนีย์ 2 รอบ) ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 7.5 (เชียงใหม่ม่วนขนาด) 2551 เปิดการแสดงทั้งหมด 3 รอบ ทำการแสดงที่ กาดสวนแก้ว เชียงใหม่ ความจุ 2,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 8 (เดี่ยว 8) ประมาณ ต้นปี 2553


งานเขียน

ทางด้านงานเขียนหนังสือ อุดม แต้พานิช เป็นคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนขายดี (Best Seller) ปัจจุบันนี้หนังสือของ อุดม แต้พานิช มีถึง 20 เล่ม ได้แก่
1. โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 33 ครั้ง)
2. เดี่ยวไมโครโฟน 1 (พิมพ์ซ้ำ 11 ครั้ง)
3. หนังสือโป๊ (พิมพ์ซ้ำ 28 ครั้ง)
4. เดี่ยวไมโครโฟนโชว์ห่วย (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
5. โน้ตบุ๊ค (พิมพ์ซ้ำ 7 ครั้ง)
6. รวมมิตรแต้พานิช (พิมพ์ซ้ำ 21 ครั้ง)
7. ก้นกล่อง (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
8. เดี่ยว 4 (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
9. GU 1 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
10. GU 2 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
11. GU 3 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
12. GU 123 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 10 ครั้ง)
13. ฉายเดี่ยว (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
14. หนังสือโป๊xxx (「エロ本」ฉบับญี่ปุ่น) ISBN 9742725543 (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
15. I don’t know (พิมพ์ซ้ำ 1 ครั้ง)
16. a dom นิตยสารแนวล้อเลียนเล่มแรกของเมืองไทย (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
17. ตูดหมึก (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
18. GU 123 (ฉบับญี่ปุ่น) ISBN 9749340043 (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
19. a dom 2 (พิมพ์ซ้ำ 8 ครั้ง)
20. Domcumentary ในอีกมุมมองหนึ่งของชีวิตที่หลายคนอาจยังไม่รู้ อุดม ในฐานะของนักวาด และการประดิษฐ์สิ่งของที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นขยะแต่กลับเป็นเรื่องท้าทายของเขาที่จะชุบขยะเหล่านั้นให้มีชีวิตจนเกิดเป็นผลงานศิลปะอันสวยงาม หนังสือเล่มนี้จึงรวบรวมผลงานหลากหลายของอุดมที่ชีวิตไม่ได้มีแต่ตลกด้านเดียว

นอกจากจะเป็นนักแสดงตลก และนักเขียนแล้ว อุดม แต้พานิช ยังมีผลงานทาง การแสดงภาพยนตร์เรื่อง กล่อง โดยรับบทเป็นพระเอกซึ่งได้รับค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ HELLO 1800 และวิทยุติดตามตัวEDDY AND THE GANG ผลงานต่างๆ ที่อุดมได้สร้างสรรค์ออกมานั้น ทำให้สื่อมวลชน หลายแขนงได้ยกย่อง อุดม แต้พานิช ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคม

- ปี พ.ศ. 2540 ได้รับเลือกเป็น บุคคลแห่งปีจากคอลัมน์จุดประกายหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- ปี พ.ศ. 2542 หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น : Special issue ได้รับเลือกให้อุดม แต้พานิช

ได้เป็น 1 ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษในสาขาอาชีพการแสดง และในปีเดียวกันนั้นเอง นิตยสาร Hi Class ได้มีการจัด อุดม แต้พานิช ให้เป็น 1 ใน 50 ผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
- ปี พ.ศ. 2549 ได้รับรางวัล คมชัดลึกอวอร์ด 2549 นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อุดม แต้พานิช จากโคตรรักเอ็งเลย


ผลงานนิทรรศการ

- ART? - 2541 จัดที่ ร้านหน้าพระลาน กรุงเทพฯ
- ยาระบาย - 2542 จัดที่ อะเบาท์ คาเฟ่ กรุงเทพฯ
- Udom on Canvas - 2543 จัดที่ รูม เซอร์วิส กรุงเทพฯ
- Voodoo Gudo - 2544 จัดที่ โต๊ะคิม กรุงเทพฯ
- The Painting I Like - 2545 กองดี แกลเลอรี่ เชียงใหม่
- Art Against War - 2546 จัดที่ อุโมงค์ ศิลปะธรรม เชียงใหม่
- Free-dom - 2547 จัดที่ เอกาแกลเลอรี่ เชียงใหม่
- Yokohama Triennale 2005 - 2548 จัดที่ ท่าเรือยามาชิตะ โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น
- Domcumentary - 2549 จัดที่ เจ แกลเลอรี่ เจ-อเวนิว สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ 15) กรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2549
- PLAT FORM new media lab - ผลงานชื่อ Dark Conversation เป็นงานในรูปแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ ซึ่งจัดทำร่วมกับ พรทวีศักดิ์ ริมสกุล จัดที่ หอศิลปวิทยนิทรรศน์ สถาบันวิทยบริการ (หอสมุดกลาง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน - 16 ธันวาคม 2549
- Project Zero - จัดที่ ลานหน้า ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ จัดขึ้นระหว่าง

วันที่ 9 - 14 มิถุนายน 2550
- Myspace - FAT FESTIVEL#7 จัดที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 เมืองทองธานี

วันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2550
- CHANGE - 2551 จัดที่ศูนย์ศิลปะฮอฟอาร์ท (รัชดา 19) กรุงเทพฯ
- No Wall : Art and Friendship - 2551 จัดที่โรงพิมพ์คุรุสภาเก่า กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-30 สิงหาคม 2551
- ขี้เหร่เนะ - 2551 จัดที่ เจ แกลลอรี่ เจ-อเวนิว สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ 15) กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
- แร็พเปอร์ - 2551 จัดที่ แกลลอเรี่ยน เอ็น ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

งานแสดงละครเวที

- ความรักของมาลัยในห้องไอซียู
- บริษัทกำจัดฝันจำกัด
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน
- บ่งหนามออกแล้วบอกรัก - 2535
- ชายกลาง โศกนาฏกรรมในจังหวะแทงโก้ - 2550



งานแสดงภาพยนตร์



- ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ - 2532
- โตแล้วต้องโต๋ - 2535
- กล่อง - 2541
- โคตรรักเอ็งเลย - 2549
- เมล์นรก หมวยยกล้อ - 2550

- อีติ๋มตายแน่ (เขียนบทและแสดงนำ) - 2551

ขบวนการค้ามนุษย์

ขบวนการค้ามนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นการเต็มใจหรือ การล่อลวง จับตัว บังคับไปก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่ากลัวและโหดร้ายมากๆเรื่องราวเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของใครก็ได้ขบวนการค้ามนุษย์เติบโตและเป็นเครือข่ายที่น่าสพรึงกลัวนอกเหนือจากขบวนการค้ายาเสพติด เนื่องจาก "มนุษย์" เป็นสินค้าซึ่งนำไปหาประโยชน์ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะหมดสภาพ หรือเสียชีวิตไป


โดยเฉพาะกับเด็กๆ


จากการจัดแถลงข่าวของ "สถานการณ์เด็กหายในรอบ 4 ปี" ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา



คุณเอกบดินทร์หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กอายุ 0-18 ปี มีสถิติหายมากที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปี 2549 ที่มีคนรู้จักศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มากขึ้น ทำให้ได้รับแจ้งเด็กหายมากถึง 221 ราย

ส่วนในปี 2550 มีจำนวน 169 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากมีความรุนแรงและปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น





อีกทั้งกลุ่มที่ลักพาตัวยังไปแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น เด็กอายุ 13 ปี ให้เป็นโคโยตี้ อายุ 16 ปี ให้ขายบริการทางเพศ ซึ่งเด็กที่หายไปเหล่านี้ศูนย์สามารถติดตามกลับมาได้ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือไร้เบาะแสและข้อมูลในการเชื่อมโยงติดตามหาตัว
แบ่งประเภทการหายเป็น 10 ประเภท การถูกล่อลวงเพื่อทางเพศเป็นสติถิที่มากที่สุด
อายุต่ำสุดคือ 9 ขวบ
ซึ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบตามมาอีกคือ เด็กเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีเด็กบางคนที่สมัครใจออกจากบ้าน เด็กผู้หญิงจะก้าวเข้าสู่อาชีพด้านมืด ส่วนเด็กผู้ชายจะไปสู่เด็กเร่ร่อนและกลายเป็นอาชญากร
ข้ออ้างที่ว่ายังหายไปไม่ครบ 24 ชั่วโมง เป็นตัวขัดขวางในการแจ้งความกับภาครัฐคำว่า 24 ชั่วโมงไม่ได้เป็นตัวบทกฎหมายออกมา เป็นเพียงดุลพินิจที่ควรใช้กับผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ควรใช้กับเด็ก
เคยมีกรณีเด็กอายุ 6 เดือนแล้วหายไป แต่ตำรวจกลับบอกว่ายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง ไม่รับแจ้งความ ซึ่งควรระบุชี้ชัดไปเลยว่า เด็กหายควรจะมีวิธีการตามหาอย่างไร หรือคนหายควรทำอย่างไร ซึ่งบ้านเรายังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเด็กในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
การเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ปกครองหันมาพึ่งศูนย์ข้อมูลคนหายฯ ซึ่งภายใน 1 เดือนศูนย์จะได้รับแจ้งเด็กหายประมาณ 30-40 ราย คิดเป็น 1-2 คนต่อวัน
แม้จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กออกมา แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่

ดังนั้นวิธีป้องกันที่ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายฯ บอกคือ
ประการแรก ต้องให้ความรัก ความอบอุ่น
พูดคุยกันภายในครอบครัว เป็นพื้นฐานอันสำคัญในการป้องกันเด็กหาย
นอกเหนือ จากที่ศูนย์พยายามผลักดันให้เรื่องตามหาเด็กหายเป็นกฎหมายรูปธรรม
นอกจากนี้ จากผลการวิจัยอัตราเด็กหายพบว่าภาคกลางมีอัตราเฉลี่ยสูงถึง 54 เปอร์เซ็นต์
รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิงเป็นเพศที่หายตัวไปมากที่สุดถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงอายุ 11-15 ปีมีมากถึง 62 เปอร์เซ็นต์
และอายุ 16-18 ปี 34 เปอร์เซ็นต์ และประเภทของการสูญหายคือ ถูกล่อล่วงเพื่อทางเพศสูงสุด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการสูญหายของเด็กและเยาวชน มีทั้งปัจจัยจากภายในและภายนอก
ซึ่งปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุด คือ
1. ผู้ปกครองไม่มีเวลาเลี้ยงดูบุตร ไม่มีเวลาได้พูดคุยหรือปรึกษาทำให้เกิดช่องว่างขึ้น
2. กรณีการอาศัยอยู่กับญาติจะมีส่วนในเรื่องของการอบรมเลี้ยงดู การว่ากล่าวสั่งสอนไม่ลึกซึ้งเท่ากับพ่อแม่ เพราะกลัวว่าเด็กจะโกรธเคือง
3. ผู้ปกครองเด็กแยกทางกัน ซึ่งเด็กที่อยู่ในภาวะพ่อแม่คนเดียว จะทำให้เด็กมีปมด้อยกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็ก อาจจะสมัครใจหนีออกจากบ้าน" เอกบดินทร์ กล่าว
ยังมีปัจจัยภายนอก ที่เอกบดินทร์ไม่อยากให้มองข้ามคือสภาพแวดล้อม เช่น การมีโทรศัพท์ใช้ส่วนตัว ช่วงที่มีปัญหากับเพื่อน หรือถูกหลอกจากคนที่เข้ามาตีสนิท เป็นต้น (ในยุคอินเดอร์เน็ท การแช็ทออนไลน์ ก็เข้ามามีส่วนมากและง่ายขึ้น)

บางส่วนจากศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงาผู้สูญหายที่รับแจ้งประจำปี พ.ศ. 2551 ทั้งหมดจำนวน 20 คน พบแล้ว 2 คน ยังดำเนินการค้นหา 18 คน (แสดงหน้าเว็บไซต์จำนวน 2 คน)







ข้อมูลผู้สูญหาย ชื่อ-สกุล : อุไรพร ชุมสงค์ ชื่อเล่น : บี

อายุปัจจุบัน : 12 ปี ( อายุขณะที่หาย 12 ปี )

ลักษณะส่วนตัวที่เด่นชัด
1. รูปร่าง : อ้วน
2. สูงประมาณ : 150 ซม.
3. น้ำหนักประมาณ : 56 กก.
4. ลักษณะทรงผม : สั้นประบ่า
5. สีผิว : ขาว , รูปหน้า : กลม
6. ตำหนิ : แผลเป็นที่หน้าผาก(แผลเย็บ)


ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
1. วันที่หาย : 14 มกราคม พ.ศ.2551
2. วันที่แจ้ง : 16 มกราคม พ.ศ.2551 แจ้งความที่ : สน.ท่าพระ

ข้อมูลส่วนตัว เมื่อ วันที่ 14 ม.ค. 51 น้องบีได้หายตัวออกจากบ้านเวลา 19.00 น. จากบริเวณ ซ.เพชรเกษม 15 บางกอกใหญ่ ท่าพระ น้องบีมีอาการทางสมองไม่สามารถบอกชื่อและที่อยู่ของตนได้ แต่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับบุคคลอื่นได้ น้องบีสวมเสื้อสีแดง กางเกงสามส่วน รองเท้าสีฟ้า






ข้อมูลผู้สูญหาย ชื่อ-สกุล : ชัย วรรณ ชื่อเล่น : เอ๋
อายุปัจจุบัน : 14 ปี ( อายุขณะที่หาย 14 ปี )
ลักษณะส่วนตัวที่เด่นชัด
1. รูปร่าง : ท้วม
2. สูงประมาณ : 158 ซม.
3. น้ำหนักประมาณ : 57 กก.
4. ลักษณะทรงผม : รองทรง
5. สีผิว : , รูปหน้า :
6. ตำหนิ :
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
1. วันที่หาย : 03 มกราคม พ.ศ.2551
2. วันที่แจ้ง : 14 มกราคม พ.ศ.2551 แจ้งความที่ : สน.ห้วยขวาง
ข้อมูลส่วนตัว น้องเอ๋ หายออกจากบ้านบริเวณตลาดห้วยขวาง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2551 ใส่เสื้อสีดำกางเกงผ้าผูก ซึ่งป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ล่าสุดมีคนพบเห็นน้องเอ๋แถว ม.หอการค้า

เบอร์โทรฯฉุกเฉิน เหตุด่วนเหตุร้าย 191
สอบถามเด็กหาย 0 2282 1815 รับแจ้งช่วยเหลือเด็ก 1578
ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา อาคารเลิศปัญญา 41 ชั้น 9 ห้อง 907 ซอยเลิศปัญญา(ซ.ศรีอยุธยา 12)ถนนศรีอยุธยา แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร 0-2642-7991 ต่อ 11 โทรสาร 0-2642-7991 ต่อ 18
E-mail : info@backtohome.org

ส้มตำ


ส้มตำ


ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง

ร้านที่ขายส้มตำ มักจะมีอาหารอีสานอย่างอื่นขายร่วมด้วย เช่น ซุปหน่อไม้ ลาบ ก้อย น้ำตก ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เป็นต้น

ประวัติ

ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้

มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้วและได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย

ส้มตำแบบต่างๆ


*ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู



*ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ





*ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน





*ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน





*ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน



*ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า



*ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด


นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง," กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย," แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง," ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว," และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้




นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

เพลง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงส้มตำ ขึ้นโดยมีการใส่ท่วงทำนองในรูปแบบเพลงลูกทุ่ง และ ขับร้องโดยนักร้องที่มีชื่อเสียงหลายท่านจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย


อนึ่ง เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้แต่งเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึง ส้มตำ ในเพลงชื่อ ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งในสมัยสงครามเวียดนาม คำว่า ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก นี้เป็นที่รับรู้กันในสังคมว่าหมายถึงส้มตำ แต่มิใช่เป็นคำเรียกส้มตำในภาษาอังกฤษอย่างที่หลายคนเข้าใจ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ซูเปอร์จูเนียร์< 슈퍼주니어>

ซูเปอร์จูเนียร์< 슈퍼주니어>



ซูเปอร์จูเนียร์ (อังกฤษ: Super Junior; เกาหลี: 슈퍼주니어) หรือที่เรียกสั้นๆว่า "เอสเจ (SJ)" หรือ "ซูจู (SuJu)" เป็นกลุ่มวงดนตรีบอยแบนด์จากประเทศเกาหลีใต้ ในสังกัดของ เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เดิมประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน (ชาวเกาหลี 11 คน และชาวจีน 1 คน) แต่ก็ได้รับสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทำให้ซูเปอร์จูเนียร์มีสมาชิกรวมแล้ว 13 คน ถือได้ว่าเป็นวงบอยแบนด์ที่มีสมาชิกมากที่สุดอีกวงหนึ่ง โดยสมาชิกทั้งหมดของวงล้วนแล้วแต่ผ่านการคัดเลือกจากเวทีต่างๆเข้ามา และทั้งหมดก็ล้วนแต่มีความสามารถที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยล้วนแล้วแต่ผ่านการทำงานในสายบันเทิงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการแสดง พิธีกร หรือนายแบบ


สีประจำวง : สีน้ำเงินมุก หรือ สีน้ำเงินมรกต (Sapphire Blue)


ประวัติและความเป็นมา
ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2547 เกิดข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดไปในอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับการก่อตั้งบอยแบนด์กลุ่มใหญ่ของ เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ จนกระทั่งในตอนต้นของปี พ.ศ. 2548 เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ได้ออกมายืนยันข่าวลือดังกล่าว พร้อมทั้งประกาศว่า บอยแบนด์กลุ่มดังกล่าวจะมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 12 คน และจะทำการเปิดตัวต่อสาธารณชนในช่วงก่อนสิ้นปี นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเน้นว่า บอยแบนด์กลุ่มนี้จะกลายเป็น "ประตูสู่ความเป็นดาวแห่งเอเชีย ( The Gateway to Stardom of Asia )" ในขณะนั้น พวกเขาถูกเรียนขานว่า โอเวอร์ หรือ โอ.วี.อี.อาร์. ( O.V.E.R. ) ซึ่งย่อมาจาก "ยึดมั่นในท่วงทำนองของแต่ละจังหวะ ( Obey the Voice for Each Rhythm )" และในภายหลัง ได้กลายมาเป็น ซูเปอร์จูเนียร์ 05 ก้าวแรกของซูเปอร์จูเนียร์ในปัจจุบัน
ซูเปอร์จูเนียร์ได้ออกมาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก ก่อนหน้าการเปิดตัวในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2548 ทางสถานี M.NET ในรายการดังกล่าว ซูเปอร์จูเนียร์ได้แสดงการเต้นสไตล์ฮิบฮอปในหลากหลายรูปแบบ พวกเขาทั้งหมดเต้นร่วมกันในเพลง "Take It To The Floor" ของวง บีทูเค (B2K) นอกจากนั้น ฮันคยอง, อึนฮยอค และดงแฮ ยังได้เต้นเพลง "Caught Up" ของ อัชเชอร์(Usher) อีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี รายการดังกล่าวไม่ได้ถูกนำออกอากาศ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 รายการที่บันทึกไว้ได้กลายเป็นช่วงหนึ่งของรายการ "Super Junior Show" ซึ่งเป็นรายการสารคดีทางโทรทัศน์เรื่องแรกของพวกเขา

2548 - 2549 : เปิดตัวต่อสาธารณชน

ภาพโปรโมตภาพแรกของซูเปอร์จูเนียร์
ซูเปอร์จูเนียร์ได้เปิดตัวและออกรายการโทรทัศน์ครั้งแรกที่สถานีเอสบีเอส ในรายการ "Ingigayo" หรือ "Popular Songs" เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนพ.ศ. 2548 พร้อมกับการแสดงในเพลง "Twins (Knock Out)"
ซิงเกิลแรกของพวกเขา ซึ่งภายหลังจากการแสดงครั้งนั้น ซูเปอร์จูเนียร์ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนเพลง และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ทางต้นสังกัดตัดสินใจที่จะออกวางขายอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของซูเปอร์จูเนียร์ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2548 โดยที่ก่อนหน้านี้นั้นซูเปอร์จูเนียร์ ได้ออกซิงเกิลพิเศษ
ที่มีชื่อว่า "Show Me Your Love" ร่วมกับสมาชิกร่วมค่ายอย่างวงดง บัง ชิน กิ‎ไปแล้ว
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2548 นอกจากความโด่งดังของซูเปอร์จูเนียร์ในประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดแล้ว พวกเขายังเป็นที่รู้จักในต่างประเทศอีกด้วยโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่พวกเขาได้มีโอกาสไปร่วมงาน "พัทยามิวสิกเฟสติวอล 2006" เมื่อวันที่ 17 มีนาคม - 19 มีนาคม พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ในประเทศจีนเองพวกเขาก็มีเว็บไซต์ที่เหล่าแฟนคลับทำขึ้น
2549 - 2550 : ซิงเกิล "U" และความสำเร็จ

ภาพโปรโมตซิงเกิล "U" ครั้งแรกของการเป็น 13 คน
ในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ตันสังกัดได้ประกาศสมาชิกคนที่ 13 คยูฮยอน ทำให้ซูเปอร์จูเนียร์ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 13 คน และพวกเขาได้ออกซิงเกิลใหม่ที่มีชื่อว่า
"U" โดยได้เปิดให้ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของ เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ฟรี ในวันที่ 25 พฤษภาคม และ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ตามลำดับ เพื่อตอบแทนแฟนเพลงที่ให้การตอบรับซูเปอร์จูเนียร์เป็นอย่างดี โดยมียอดดาว์นโหลดกว่า 400,000 ครั้งภายใน 5 ชั่วโมง และยอดดาว์นโหลดรวมกว่า 1.4 ล้านครั้ง
ซีดีซิงเกิล "U" ได้ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2549 และสามารถขายได้กว่า 83,000 หน่วย
ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมิวสิกวิดีโอของพวกเขา ที่มีชื่อว่า "Dancing Out" ได้เริ่มออกอากาศตามสถานีโทรทัศน์ และซูเปอร์จูเนียร์ก็ได้ออกแสดงโปรโมทตามรายการโทรทัศน์สถานีต่างๆ โดยมิวสิกวีดีโอเพลงนี้ถ่ายทำกันที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อครั้งที่ซูเปอร์จูเนียร์ได้เป็นแขกรับเชิญพิเศษให้กับคอนเสิร์ตของนักร้องร่วมค่ายอย่าง ดง บัง ชิน กิ ที่จัดขึ้นที่นั่นในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 อย่างไรก็ดีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นถึง 2 เรื่องเมื่อคุณพ่อของดงเฮ 1 ในสมาชิกในวงเกิดเสียชีวิตลงอย่างกระทันหันด้วยอาการป่วยเรื้อรังเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ทำให้สมาชิกในวงต้องเดินทางกลับไปยังเกาหลีใต้เพื่อร่วมพิธีศพที่จัดขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2549 หลังจากเสร็จสิ้นงานพิธีศพแล้ว ในระหว่างการเดินทางกลับของ 1 ในสมาชิกในวง ฮีชอล ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ขา ซึ่งแพทย์ระบุว่าฮีชอลนั้นต้องพักงานนานเป็นเวลากว่า 3-6 เดือนด้วยกันส่งผลให้ซูเปอร์จูเนียร์จำเป็นต้องพักงานที่รับไว้ในช่วงหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น 1 สัปดาห์เกือบทั้งหมด



2550 : อัลบั้มที่ 2 Don't Don

ภาพโปรโมตอัลบั้ม Don't Don
สืบเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ของสมาชิกในวง ทำไห้โครงการสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 ของซูเปอร์จูเนียร์ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกระทั่ง Don't Don ได้รับการออกวางจำหน่ายในที่สุด เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 ซูเปอร์จูเนียร์ได้ร่วมกันขึ้นแสดงอีกครั้งเป็นครั้งแรกสำหรับการโปรโมทอัลบั้มชุดนี้ ที่รายการมิวสิกแบงก์ ทางสถานีเคบีเอส เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550 และการแสดงในครั้งนี้ก็นับเป็นแรกที่ทั้ง 13 คนได้ขึ้นแสดงพร้อมกันในรอบ 1 ปีอีกด้วย
Don't Don เปิดตัวด้วยอันดับที่ 1 บนชาร์ต โดยภายใน 7 วันหลังออกวางจำหน่าย สามารถทำยอดจำหน่ายได้กว่า 60,000 หน่วย[5] และหลังจากนั้น 3 เดือน Don't Don สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากถึง 164,058 ชุด และกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของซูเปอร์จูเนียร์ นอกจากนี้ ยังรั้งอันดับ 2 ในชาร์ตอัลบั้มขายดีที่สุดในปี พ.ศ. 2550 เป็นรองแค่อัลบั้ม The Sentimental Chord ของเอสจีวอนนาบีที่รั้งอันดับหนึ่ง ด้วยยอดขายที่นำอยู่ราว 26,940 ชุด
จากผลงานอัลบั้ม Don't Don ซูเปอร์จูเนียร์มีชื่อเข้าชิงรางวัลในงาน 2007 M.NET/KM Music Festival ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ถึง 7 สาขา และสามารถคว้ารางวัลกลับบ้านได้ถึง 3 รายการ ได้แก่ Netizen Choice Award และ Mobile Popularity รวมไปถึงรางวัลใหญ่ที่สุดในงาน (แดแซง - Daesang) Best Artist of the Year ซึ่งนับเป็นความสำเร็จอย่างสูงของซูเปอร์จูเนียร์และอัลบั้มชุดนี้ และจากความนิยมในตัวซูเปอร์จูเนียร์อย่างล้นหลามในประเทศไทย ทำให้ล่าสุด พวกเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย - เกาหลีใต้ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์อีกด้วย

2551 : ปีทองของซูเปอร์จูเนียร์และการบุกตลาดต่างประเทศ
เอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เตรียมเปิดตัวกลุ่มย่อยกลุ่มใหม่ ในชื่อซูเปอร์จูเนียร์ ไชนา ท่ามกลางการประท้วงของเหล่าแฟนคลับ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 เมษายน มีการแถลงข่าวของกลุ่มย่อยกลุ่มนี้ ภายใต้ชื่อ ซูเปอร์จูเนียร์ เอ็ม โดยตัวเอ็ม (M) ย่อมาจาก แมนดาริน ประกอบด้วยสมาชิกจากซูเปอร์จูเนียร์จำนวน 5 คนคือ ฮันกยอง , ดงเฮ , คยูฮยอน , รยออุค , ชีวอน และอีก 2 แขกรับเชิญพิเศษ คือ เฮนรี และ โจวมี
7 มิถุนายน ได้มีการเปิดตัวกลุ่ยย่อยใหม่อีกกลุ่มหนึ่งของซุปเปอร์จูเนียร์ ภายใต้ชื่อ ซูเปอร์จูเนียร์ แฮปปี้ (Super Junior Happy)ที่งาน 2008 Dream Concert โดยมีสมาชิกคือ อีทึก , คังอิน , อึนฮยอค , ชินดง , ซองมิน และ เยซอง และ 35 ชั่วโมงหลังจากการจำหน่ายอัลบั้มก็สามารถทำยอดขายได้ถึง 3500 แผ่น และมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนี้ ซูเปอร์จูเนียร์ แฮปปี้ กำลังได้รับความนิยม และกระแสตอบรับอย่างดีจากแฟน ๆ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ซูเปอร์จูเนียร์ได้เดินทางไปร่วมงาน เอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส 2008 ที่จัดขึ้นที่เก็นติงไฮแลนด์ ประเทศมาเลเซีย พวกเขาได้ขึ้นแสดงเพลง "Mirror" "Don't Don" และ "A Man In Love" ซึ่งในงานนี้ ซูเปอร์จูเนียร์ได้รับรางวัล "ศิลปินยอดนิยมจากเกาหลี" อีกด้วย


2552 : อัลบั้มที่ 3 Sorry, Sorry

อัลบั้มลำดับที่ 3 ของซูเปอร์จูเนียร์ในชื่อ Sorry, Sorry ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552 โดยก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้น มียอดจองอัลบั้มกว่า 150,000 ชุด และซูเปอร์จูเนียร์ได้ทำการขึ้นแสดงเพลง "Sorry, Sorry" ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม และเพลง "Why I Like You" ที่รายการมิวสิกแบงก์เพื่อประกาศถึงการกลับมา โดยท่าเต้นที่ใช้ในการแสดง รวมไปถึงในมิวสิกวิดีโอนั้น ได้รับการออกแบบโดยนิค แบส นักออกแบบท่าเต้นชื่อดัง อัลบั้ม Sorry, Sorry ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบั้มขายดีของเกาหลีใต้ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 200,000 ก็อปปี้ ส่วนซิงเกิล "Sorry, Sorry" นั้นก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงเช่นกัน นอกจากนั้น single ที่ 2 ของซูเปอร์จูเนียร์ เพลง It's you หลังจากเปิดตัวได้เพียง 1 สัปดาห์ ก็สามารถครองอันดับ 1 ในชาร์ตต่างๆของเกาหลีได้ เช่น รายการมิวสิคแบง ของ KBS
สมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์


สมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์


บอยแบนด์จากประเทศเกาหลีใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 13 คน ประกอบด้วย อีทึก (หัวหน้าวง), ฮีชอล, ฮันกยอง, เยซอง, คังอิน, ชินดง, ซองมิน, อึนฮยอค, ดงเฮ, ซีวอน, รยออุค, คีบอม และคยูฮยอน ในจำนวน 13 คนนี้ มีเพียง ฮันกยอง เท่านั้นที่ไม่ใช่ชาวเกาหลีใต้ โดยเขาถือสัญชาติจีน และได้เข้ารับการทดสอบความสามารถหรือ ออดิชัน ที่เอสเอ็ม เอนเตอร์เทนเม้นท์จัดขึ้นในประเทศจีน
ซูเปอร์จูเนียร์ ยังมีสมาชิกพิเศษอีก 2 คน คือ เฮนรี และโจวมี ทั้งสองเป็นสมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์ เอ็ม กลุ่มย่อยของซูเปอร์จูเนียร์ที่ตั้งขึ้นเป็นพิเศษสำหรับบุกตลาดในประเทศจีน

ผลงานเพลงของซูเปอร์จูเนียร์

2005 : Super Junior 05 (TWINS)
2007 : Don't Don
2009 : Sorry, Sorry


อัลบั้มรวมกันเฉพาะกิจ
11 กรกฎาคม 2006 - อัลบั้ม '06 SUMMER SMTOWN
12 ธันวาคม 2006 - อัลบั้ม 2006 WINTER SMTOWN
03 กรกฎาคม 2007 - อัลบั้ม 2007 Summer SMTOWN
07 ธันวาคม 2007 - อัลบั้ม 2007 Winter Sm Town

ซิงเกิ้ล
15 ธันวาคม 2005 - ซิงเกิ้ล Show me your love (ร่วมกับวง ดง บัง ชิน กิ‎)
17 มิถุนายน 2006 - ซิงเกิ้ล U
16 กรกฎาคม 2007 - ซิงเกิ้ลประกอบภาพยนตร์ Flower Boys

อัลบั้มของกลุ่มย่อยต่างๆ
22 กุมภาพันธ์ 2007 - อัลบั้ม Super Junior T
30 เมษายน 2008 - อัลบั้ม Super Junior-M
05 มิถุนายน 2008 - อัลบั้ม Super Junior-Happy
05 พฤศจิกายน 2008 - อัลบั้ม Super JuniorT ROCK&GO


แนวเพลงและสไตล์ทางดนตรี


ผลงานเพลงของซูเปอร์จูเนียร์นั้น อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นแนว เค-ป็อป อันเป็นแนวเพลงที่กำลังได้รับความนิยม เพลงในลักษณะนี้มักจะมีการผสมผสานกันระหว่างดนตรี ร็อก และ อาร์แอนด์บี เพิ่มเข้ามาด้วย ซิงเกิลเปิดตัวของพวกเขา "TWINS (Knock Out)" เป็นเพลงที่ถูกนำกลับมาร้องใหม่ หรือที่เรียกว่า เพลงคัฟเวอร์ ต้นฉบับเดิมเป็นของวง "Triple Eight" บอยแบนด์จากเกาะอังกฤษในชื่อเพลง "Knockout" ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2546 ในฉบับของซูเปอร์จูเนียร์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงสไตล์ของเพลงให้เป็นแร็ป - ร็อกที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยท่อนแร็ปที่เร็วขึ้น และเน้นเสียงเบสที่มีจังหวะรุนแรง ซิงเกิลต่อมา "Miracle" เป็นเพลงรักในแนวป็อปที่เบาสบาย ส่วนซิงเกิ้ล "U" อาจเรียกได้ว่า เป็นแนวเออร์บัน เพราะได้รับอิทธิพลของดนตรีอาร์แอนด์บีเข้ามาใช้มากขึ้น ในอัลบั้มที่ 2 "Don't Don" ซิงเกิลเปิดอัลบั้มในชื่อเดียวกันนั้น เป็นเพลงร็อกที่หนักหน่วง บวกกับแร็ปและอาร์แอนด์บี และได้มีการนำเอาไวโอลินเข้ามาประกอบด้วย ในขณะที่ซิงเกิลที่ 2 อย่าง "Marry U" เป็นเพลงบัลลาด อาร์แอนด์บี นอกจากนี้ยังเพลงกึ่งฮิปฮอบอย่าง "A Man In Love" ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีแบบเคาะให้จังหวะ เช่น djemba ของแอฟริกัน และ tabla ของอินเดีย ฮีชอล, ชินดง และอึนฮยอค มีรายชื่อในฐานะผู้เขียนท่อนแร็ปในซิงเกิ้ลร่วมระหว่างซูเปอร์จูเนียร์ และดง บัง ชิน กิ อย่าง "Show Me Your Love" นอกจากนั้น อึนฮยอค ยังมีชื่อในฐานะผู้เขียนท่อนแร็ปของซิงเกิล "U" อีกด้วย ในอัลบั้ม "Don't Don" สมาชิกหลายคนได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในส่วนของการเขียนเนื้อเพลง อีทึก, ซองมิน, อึนฮยอค และดงเฮ ร่วมกันเขียนเพลงในสไตล์ป็อปชื่อ "I am" และอึนฮยอคยังคงเป็นสมาชิกหลักที่มีบทบาทมากที่สุดในการเขียนและร้องแร็ปในอัลบั้มชุดนี้

ลักษณะเสียงและความสามารถในการขับร้อง
การที่ซูเปอร์จูเนียร์มีจำนวนสมาชิกที่มากถึง 13 คนนั้นย่อมหมายถึง การมีเสียงในลักษณะแตกต่างและหลากหลายช่วง สมาชิกบางคน โดยเฉพาะ เยซอง นั้นได้รับการยอมรับถึงความสามารถในการใช้เทคนิคโหนเสียงสูง อีทึก, ฮีชอล, ฮันคยอง, ซองมิน, ดงเฮ และรยออุค จัดว่ามีเสียงอยูในช่วงแบริโทนขั้นสูง จนถึง ช่วงเทเนอร์ ในขณะที่คังอิน และซีวอนมีเสียงอยู่ในช่วงแบริโทนที่ต่ำกว่า ส่วนชินดง, คิบอม และคยูฮยอนนั้นมีเสียงอย่ในช่วงเบส ในฐานะแร็ปเปอร์ของวง อึนฮยอค, ชินดง, คิบอม ,ฮีชอลและดงแฮ ล้วนมีความสามารถในการสังเคราะห์จังหวะ และการขยับลิ้นที่รัวเร็ว

ข้อกังขาในเรื่องความสามารถ
ซูเปอร์จูเนียร์ถูกมองว่ายังขาดความสามารถในการขับร้องและยังถูกกังขาในเรื่องของการลิปซิง โดยในประเด็นดังกล่าวร้อนแรงยิ่งขึ้น หลังจากทางวงทำการขึ้นแสดงในรายการ Music Core ทางสถานีโทรทัศน์เอ็มบีซี ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นรายการสำหรับการแสดงสด ถึงแม้ว่าแฟนๆจะออกมาโต้แย้งว่า นั่นเป็นอาการเจ็บป่วยของฮีชอลอันนำมาซึ่งความไม่พร้อมในการใช้เสียง (เพราะเขาได้ใช้เสียงในการทำโทนเสียงเอฟเฟคต์ในเพลง Don't don จนไอออกมาเป็นเลือดทุกครั้งที่แสดง) แต่นักวิจารณ์กลับมีความเห็นว่า คำอธิบายดังกล่าวฟังไม่ขึ้น โดยนักวิจารณ์มองว่า ในฐานะวงดนตรีที่มีสมาชิกจำนวนกว่า 13 คน อาการเจ็บป่วยของสมาชิกเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้างได้ แต่อย่างไรก็ดี การถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความนิยมของแฟนเพลงที่มีต่อซูเปอร์จูเนียร์ โดยยอดขายอัลบั้มยังดำเนินไปอย่างเป็นที่น่าพอใจ
และเพื่อเป็นการลบคำสบประมาท ในการขึ้นแสดงเพลง Don't Don เพื่อประกาศการกลับมาพร้อมกับอัลบั้มที่ 2 นั้น ซูเปอร์จูเนียร์ได้ทำการแสดงสดทั้งหมด โดยในทัวร์คอนเสิร์ตซูเปอร์โชว์ ได้มีการใช้ลิปซิ้งเพียง 6 เพลงเท่านั้น ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวก

รูปแบบการเต้น
จุดเด่นในการแสดงบนเวทีของซูเปอร์จูเนียร์อย่างหนึ่งคือ การเต้น รูปแบบการเต้นของพวกเขานั้นเรียกกันว่า “การเต้นบนท้องถนน” หรือ “สตรีท แดนซิ่ง” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ การเต้นในลักษณะดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากการเต้นในสไตล์ฮิปฮอป หรือ บี-บอย ในเพลงส่วนใหญ่ของซูเปอร์จูเนียร์นั้นจะมีท่อนบริดจ์ ซึ่งจะมีสมาชิก 2 – 6 คนออกมาทำการเต้น ฮันคยอง, ชินดง, อึนฮยอก, และดงเฮ เป็นสมาชิกที่มีทักษะการเต้นอยู่ในระดับๆ ต้นของวง และมักจะได้รับโอกาสไห้เต้นนำ และเต้นเดี่ยว อยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ การเต้นโดยใช้รูปแบบของศิลปะป้องกันตัว ยังได้ถูกนำมาใช้ โดยเฉพาะฮันคยองและซองมินซึ่งมีความสามารถพิเศษในทักษะดังกล่าว และสมาชิกบางคนยังได้มีส่วนร่วมในการออกแบบท่าเต้น เช่น ชินดงซึ่งได้ออกแบบท่าเต้นให้กับซิงเกิล "U" รวมไปถึงเพลงอื่นๆ ส่วนสมาชิกที่เหลือ ก็ได้ร่วมคิดท่าเต้นสำหรับซิงเกิล "Don’t Don" อีกด้วย นอกจากนี้ ซูเปอร์จูเนียร์ยังได้มีโอกาสรวมงานกับ นักออกแบบท่าเต้นชื่อดังอย่าง นิค แบส ที่เคยออกแบบท่าเต้นให้กับศิลปินระดับโลกอย่าง จัสติน ทิมเบอร์เลค โดยแบสเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นสำหรับซิงเกิล "Sorry, Sorry" ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้มล่าสุดนี้ด้วย
ก่อนและหลังการเปิดตัว
ก่อนการเปิดตัวของซูเปอร์จูเนียร์ สมาชิกหลายๆคนได้เคยมีผลงานออกอากาศทางโทรทัศน์มาแล้ว อีทึกเป็นสมาชิกคนแรกที่เคยแสดงเป็นตัวประกอบในละครเรื่อง สงครามแห่งความรัก (อังกฤษ: All About Eve ในปี พ.ศ. 2543 ฮีชอล, ซีวอน และคิบอม ต่างก็เคยแสดงละครอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคิบอม เขาเคยแสดงละครถึง 4 เรื่อง นับตั้งแต่ซูเปอร์จูเนียร์เปิดตัวต่อสาธารณชนในปี พ.ศ. 2548
ซีวอน เป็นสมาชิกคนแรกที่มีโอกาสได้รับบทบนจอเงิน ในปี พ.ศ. 2549 กับภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์ ทุนสร้างของฮ่องกง เรื่อง มหาบุรุษกู้แผ่นดิน (อังกฤษ: Battle of Wits) ในบทเหลียงชือ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซีวอนได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงชื่อดัง หลิวเต๋อหัวด้วย
ในปี พ.ศ. 2550 ฮีชอล คังอิน และชินดง ได้ให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นของฝั่งฮอลลีวู้ดเรื่อง อัลวินกับสหายชิพมังค์จอมซน(อังกฤษ: Alvin and the Chipmunks)
และในปี พ.ศ. 2551 คังอิน มีโอกาสได้รับเล่นภาพยนตร์ของเกาหลีใต้เรื่อง Romantic Comic (Pure Manhwa) ร่วมกับนักแสดงชั้นนำของเกาหลีใต้คนอื่นๆเช่น ยู จิ แท และ ลี ยอน ฮี โดยออกฉายทั่วเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551


ปฏิบัติการจู่โจมหนุ่มสุดฮอต

ใบปิดภาพยนตร์เรื่องปฏิบัติการจู่โจมหนุ่มสุดฮอต
สมาชิกของซูเปอร์จูเนียร์(ยกเว้นคยูฮยอน) ได้ร่วมเล่นในภาพยนตร์เรื่องแรกอย่างเป็นทางการในเรื่อง ปฏิบัติการจู่โจมหนุ่มสุดฮอต (อังกฤษ: Attack on the Pin-Up Boys) ซึ่งจัดสร้างโดย เอสเอ็ม พิคเจอร์ส
ปฏิบัติการจู่โจมหนุ่มสุดฮอต ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ในประเทศเกาหลีใต้ ถึงแม้ว่า ตัวภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวก แต่กระนั้น ยอดการขายบัตรเข้าชมกลับไม่เป็นไปตามที่ต้นสังกัดคาดหมายไว้ ถึงแม้ว่าจะทำรายได้ได้ดีในสัปดาห์แรกของการเข้าฉาย โดยนับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ เอสเอ็ม พิคเจอร์ส
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อฉบับดีวีดีของ ปฏิบัติการจู่โจมหนุ่มสุดฮอต ออกวางจำหน่าย กลับขึ้นแท่นชาร์ตดีวีดีขายดีทั้งในและนอกเกาหลีใต้ โดยสามารถทำรายได้ให้กับ เอสเอ็ม พิคเจอร์สกว่า 8 พันล้านวอน

















น้ำค้าง-น้ำค้างแข็ง


น้ำค้าง (Dew)
น้ำค้างเป็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเป็นฤดูร้อน หนาว ฝน หรือฤดูใบไม้ผลิ ในตอนเช้าตรู่เมื่อเราตื่นขึ้นมาก็จะเห็นหยดน้ำน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบหญ้า ใบไม้ และตามโลหะต่าง ๆ เต็มไปหมด เมื่อต้องแสงแดดในตอนเช้าจะทอแสงแวววาวสวยงามน่าดู ยิ่งที่มันเกาะอยู่ตามรังของใยแมงมุมที่ขึงอยู่ตามต้นไม้จะเหมือนกับเพชรเม็ดเล็ก ๆ ร้อยเป็นพวง เป็นตาข่ายเกิดความงามอย่างน่ามหัศจรรย์ น้ำค้างใช่จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืนหรือเวลาย่ำรุ่งเท่านั้น เพราะแม้แต่ในตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน บางโอกาสก็เกิดน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบหญ้า และใบไม้ด้วยเหมือนกัน
น้ำค้างเกิดขึ้นจากละอองไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ เพราะโดยปรกติแล้ว น้ำมีการระเหยกลายเป็นไอแทรกซึมเข้าไปอยู่ในอากาศได้ทุกขณะ ในเมื่อความชื้นของอากาศยังมีน้อยไม่ถึงจุดอิ่มตัว แต่พออากาศอมเอาไอน้ำไว้ได้มากจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันจะไม่ยอมรับไอน้ำที่ระเหยอีกต่อไป นอกจากมันจะได้ "คาย" ไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศก่อนแล้วนั้นออกไปเสียบ้าง จุดที่ไอน้ำในอากาศจับตัวเกาะเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ นี้เรียกว่า "จุดน้ำค้าง"(Dew Point) และจุดน้ำค้างนี้ เปลี่ยนแปลงไปได้ตามลักษณะของอุณหภูมิของอากาศ ความกดดัน และ
ปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ
ในบางครั้งหยดน้ำที่เกาะตัวนี้ ยังลอยอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดฝ้าหนาทึบ เราเรียกว่า "หมอก" ซึ่งเมื่อถูกความร้อนในตอนเช้า หมอกนี้จะค่อยละลาลตัวออกไปเป็นไอน้ำปะปนแทรกซึมอยู่ในอากาศเช่นเดิม
ความชื้นของไอน้ำในอากาศนอกจากจะทำให้เกิดน้ำค้างและหมอกขึ้นแล้ว ยังมีส่วนสัมพันธ์กับอุณหภูมิของลมฟ้าอากาศอีกด้วย วันใดถ้าอากาศมีความชื้นมาก แม้แดดจ้า และมีอุณหภูมิร้อนจัดเช่นอยู่ในฤดูร้อนเป็นต้น เราจะตากผ้าแห้งช้า แต่ตรงกันข้ามถ้าวันใดอากาศมีความชื้นน้อย แม้ฝนจะตกหรือเป็นเวลากลางคืนก็จะตากผ้าแห้งได้เร็ว ช่างน่าประหลาดแท้ ๆ

น้ำค้างแข็ง

น้ำค้างแข็ง (frost) หรือ แม่คะนิ้ง เป็นปรากฎการทางธรรมชาติเมื่อมีอากาศหนาวจัดจะทำให้น้ำค้างที่อยู่บนยอดหญ้าเกิดแข็งตัวเป็นเก็ดน้ำแข็ง(ส่วนมากเกิดบนย่อดดอยในฤดูหนาว)
น้ำค้างแข็ง : ปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศโลก
น้ำค้างแข็ง เป็นปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ บรรยากาศซึ่งจะไม่ปรากฏขึ้นในทุกภาคของประเทศไทย แต่มักจะพบมากในช่วงฤดูหนาวบนยอดดอยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาษาถิ่นเหนือเรียกน้ำค้างแข็งว่า เหมยขาบ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า แม่คะนิ้ง
1. ลักษณะทั่วไป : จะมีลักษณะเป็นเกล็ดน้ำแข็งขาวๆ จับตัวตามใบไม้ ยอดหญ้าหรือวัตถุต่างๆใกล้ๆ กับพื้นดิน
2. กระบวนการเกิดปรากฏการณ์การเกิดน้ำค้างแข็ง มี 2 แบบด้วยกัน คือ
2.1 การเกิดน้ำค้างแข็งโดยตรง จะเกิดในช่วงที่อุณหภูมิของอากาศใกล้ผิวโลกลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
2.2 การเกิดน้ำค้างแข็งโดยอ้อม เกิดเมื่ออุณหภูมิอากาศลดต่ำลงโดยมีปริมาณความชื้นใกล้พื้นดินสูง
3 .สถานที่ปรากฏการณ์ของการเกิดน้ำค้างแข็งในประเทศไทย : มักจะเกิดบนดอยหรือภูเขาสูงในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และเลย


น้ำค้างแข็ง (frost) หรือ แม่คะนิ้ง
น้ำจากฟ้าที่มาพร้อมกับความหนาว


น้ำค้างแข็ง หรือ แม่คะนิ้ง ในภาษาอีสาน และ เหมยขาบ ในภาษาพื้นเมืองเหนือ จะเกิดขึ้นจากไอน้ำในอากาศที่ใกล้ๆกับพื้นผิวดินลดอุณหภูมิลงจนถึงจุดน้ำค้าง จากนั้นก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ โดยอุณหภูมิยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงจุดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะเกิดการแข็งตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง เกาะอวดโฉมตามยอดไม้ใบหญ้า ทว่าการเกิดแม่คะนิ้งนี้ มันอาจจะน่าสนใจสำหรับใครหลายๆคน เพราะว่ามันช่างแสดงถึงความหนาวเย็น เป็นเกล็ด ดูน่ามอง แต่ว่าจริงๆแล้ว การเกิดแม่คะนิ้งถือว่าสร้างความเสียหายให้แก่ พืชผักต่างๆเป็นจำนวนมาก โดยจะทำให้ข้าวที่กำลังออกรวงมีเมล็ดลีบ ส่วนพืชไร่ก็จะชะงักการเจริญเติบโต พืชผักก็จะมีใบหงิกงอ ไหม้เกรียม ส่วน ผลไม้อย่างกล้วย ทุเรียน มะพร้าวก็จะมีใบแห้ง และร่วงลงในที่สุด ซึ่งหากแม่คะนิ้งเกิดติดต่อกันยาวนาน ถือว่าชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนเดือดร้อนแน่นอน สำหรับคนที่อยากชมแม่คะนิ้ง ในเมืองไทยปีไหนที่หนาวมากๆ ก็สามารถลุยความหนาวขึ้นไปดูได้ตามยอดดอยในภาคเหนือ และภาคอีสาน เนื่องจากเป็นที่ที่มีอากาศเย็นจัด โดยที่มีคนเห็นกันบ่อยๆก็ที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ และ ภูเรือ จ.เลย ซึ่งส่วนมากแม่คะนิ้งจะเกิดในช่วงปลายเดือน



เตือนภัยจากน้ำค้างแข็ง


สภาพอากาศในช่วงสัปดาห์นี้ มีอากาศหนาวเย็นมากขึ้น เพราะมีมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงเข้าปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทย คาดว่าความกดอากาศสูงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาเสริมอีก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 ทำให้ประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นต่อไป กับมีน้ำค้างแข็ง หรือที่เรียกกันว่า “แม่คะนิ้ง” หรือ “เหมยขาบ” ขึ้นตามยอดดอย โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเตือนประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรให้ระมัดระวังน้ำค้างแข็ง ที่อาจสร้างอันตรายและความเสียหายกับพืชผลทางการเกษตร ดังนี้ โดยปกติเวลาที่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งนั้น จะเริ่มจากการแข็งตัวขึ้นที่บริเวณผิวน้ำก่อน ซึ่งยังนับว่าเป็นผลดีต่อทั้ง พืชและสัตว์ แต่ถ้าหากก่อตัวขึ้นที่บริเวณก้นท้องน้ำก่อน ก็จะทำให้สัตว์ที่อยู่ในน้ำแข็งตาย ส่วนพืชที่อยู่ในน้ำก็จะตายได้ เช่นกัน เพราะความหนาวเย็นนั่นเอง และสำหรับพืชผลทางการเกษตร น้ำค้างแข็งจะทำให้ข้าวที่กำลังออกรวงมีเมล็ดลีบ พืชไร่ชะงักการเจริญเติบโต พืชผักใบจะหงิกงอไหม้เกรียม กล้วย มะพร้าว และทุเรียน ใบจะแห้งและร่วง ซึ่งจะสร้าง ความเสียหายมากขึ้น หากเกิดน้ำค้างแข็งติดต่อกันหลายวัน ดังนั้น เกษตรกรควรสร้างสิ่งปกคลุมป้องกันน้ำค้างแข็ง โดยให้นำพลาสติกมาหุ้มพืชผลที่กำลังออกดอกออกผลหรือกางมุ้งปกคลุมทั้งต้นไว้ เพื่อป้องกันมิให้ไอน้ำในอากาศกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะตามพืชผล นอกจากนี้ยังพบว่า น้ำค้างแข็งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน หากมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนผิวถนนที่เปียก หรือตามถนนที่เป็นหลุม เป็นบ่อ หรือเป็นแอ่ง ก็จะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ นอกจากจะวังภัยจากน้ำค้างแข็งในฤดูหนาวแล้ว เกษตรกรควรระมัดระวังการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่เกิดจากแมลง และสัตว์ปีก เช่น โรคไข้หวัดนก เพราะเชื้อโรคสามารถแพร่พันธุ์ได้ดีในช่วงฤดูหนาว และควรระมัดระวังการการเกิดไฟป่า อันเกิดจากการจุดไฟเผาหญ้า เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลาม รวมทั้งควันไฟอาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ของผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้รถใช้ถนนได้ และยังทำให้ดินสูญเสียความชุ่มชื้นและอินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อดินได้ สุดท้ายนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เกษตรกรควรเพิ่มความเอาใจใส่และดูแลพืชผลที่ตนเองปลูกไว้ให้มากขึ้น รวมทั้งควรร่วมกันตรวจตรา หากพบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับพืช ผลในไร่สวนของตนเอง ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เกษตรที่อยู่ในพื้นที่ทราบทันที และควรเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาให้ทางราชการทราบ เพื่อจะได้หาวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและเร่งด่วนต่อไป

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

TVXQ<ดงบังชินกิ>

ดง บัง ชิน กิ


MC: Dongbangsin-gi, MR: Tongbangshin-gi)






ดง บัง ชิน กิ (เกาหลี (동방신기), MC: Dongbangsin-gi, MR: Tongbangshin-gi)
เป็นวง 5 หนุ่มบอยแบนด์จากเกาหลีใต้ ที่มีชื่อเป็นทางการว่า Tong Vfang Xien Qi (TVfXQ)
ซึ่งเป็นภาษาจีนโบราณ แปลว่า "เทพเจ้าที่เติบโตจากโลกตะวันออก"มีการร้องแบบ Acapella dance ดนตรีประสานเสียงแนวใหม่
และยังคงรู้จักในชื่ออื่นว่า DBSK/DBSG,TVXQ ,TVFXQ , THSK, Dong Bang Shin Gi, Dong Bang Shin Ki, Tohoshinki



2004: การปรากฏตัว
สมาชิกจะต้องถูกแยกมาจากวงอื่น ๆ ในการออดิชั่นต่างกันโดยค่าย SM Entertainment
เด็กฝึกในบริษัทรวมถึงสมาชิกของ Super Junior ก็ถูกแบ่งแยกเพื่อหาความสามารถที่แท้จริงในแต่ละคน สมาชิกทั้งห้าคนของดง บัง ชิน กิ เป็นผู้นำในการร้องเพลงของแต่ละกลุ่มย่อยมารวมกัน
ดง บัง ชิน กิได้ปรากฏตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกวันที่ 26 ธ.ค. 2003 ในโชว์เคสของโบอา และบริทนีย์ สเปียรส์พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นนักร้องแนว อะคาเปลล่าป๊อป แสดงโชว์ด้วยเพลง Hug และเพลงอะคัพเพลล่า O Holy night พร้อมกับโบอา พวกเขาได้ปลุกวงการเพลงเกาหลีขึ้นมาอีกครั้ง ซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อว่า “HUG” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และอีกประมาณ 6 เดือนต่อมา ซิงเกิ้ลที่ 2 ของพวกเขา “The way U are” ทำยอดขายได้ประมาณ 600,000 แผ่น และในเดือน ก.ย. ปี 2004 พวกเขาทั้ง 5 ก็พร้อมสำหรับอัลบั้มเต็มชุดแรก “TRI-ANGLE” และ TVfXQ ก็ได้รับการยอมรับให้เป็น กลุ่มศิลปินที่ฮ็อตที่สุดในปี 2004




2006: ความสำเร็จทั่วทั้งเอเชีย
ความโด่งดังของ TVfXQ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเกาหลีเท่านั้น โดยเฉพาะหลังจากได้ร่วมงานกับ โบอา และ The Trax ในซิงเกิ้ล “Tri-Angle” ก็ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน โดย การทัวร์เอเชียครั้งแรกของพวกเขา โดยการเป็นแขกในกิจกรรมต่างๆ การติดต่อมากมาย ทั้งโฆษณาในประเทศต่างๆ รวมทั้ง มาเลเซีย ไทย และญี่ปุ่น SM entertainment เคยตัดสินใจที่จะให้มีสมาชิกจากประเทศจีนเพิ่มเข้ามา เพื่อจะเพิ่มความโด่งดังในประเทศอื่นๆ อย่างที่เห็นได้ใน The 3rd StoryBook - TVfXQ!, และแยกให้สมาชิกในวงแต่ละคน ทำกิจกรรมแบบเดี่ยว แต่หลังจากนั้น ความคิดนั้นก็ต้องล้มเหลวลงในทันที เมื่อได้รับฟังความเห็นจากแฟนๆ และพวกต่อต้าน ที่บอยคอตต์ (ต่อต้าน) สินค้าทุกอย่างจาก SM Entertainment ในเวลานั้น สมาชิกของดง บัง ชิน กิเป็นกลุ่มแรกของชาวเกาหลีที่ได้สร้างคอนเสิร์ตในประเทศมาเลเซีย ด้วย"Rising Sun 1st Asia Tour",ในบูกิต จาลี (พูทราอินดอร์เสตเดียม) และที่ประเทศไทย "TVXQ! Rising Sun Live in Bangkok 2006" ณ อิมแพคอารีนา เมื่อ 15 กันยายน 2549 ด้วยคนดูร่วม 13,000 คน หลังจากนั้นดง บัง ชิน กิก็ต้องเตรียมเพื่อคอนเสิร์ตทัวร์ครั้งแรกในญี่ปุ่น "Heart, Mind and Soul", เพื่อจะโปรโมตอัลบั้มญี่ปุ่นของพวกเขา ดง บัง ชิน กิวางแผงไปถึง 5 ซิงเกิลในปีนั้น สมาชิกต้องฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นอย่างหนัก เพื่อการโปรโมตในประเทศ และสื่อสารกับแฟนเพลงให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับโบอาที่เคยเปิดตัวในญี่ปุ่น การออกนอกประเทศได้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม และได้รับกำลังใจจากแฟนๆอย่างล้นหลาม พวกเค้าเป็นกลุ่มเอเชียนกลุ่มแรกที่ชนะสองรางวัลใน Thailand Music Awards ในรางวัล มิวสิกวีดีโอยอดเยี่ยม (RisingSun) และ ศิลปินเอเชียนยอดนิยม ในซิงเกิลที่ 7 ของโทโฮชินกิในญี่ปุ่น SKY ได้รับอันดับที่ 6 ในโอริคอนชาร์ทประจำสัปดาห์ และซิงเกิลที่ 8 miss you ได้รับอันดับสามในญี่ปุ่น ซิงเกิ้ลbeautiful you และ why did i fall in love with you ได้อันดับ1ในโอริคอนชาร์ท



กลับสู่เกาหลี
พวกเขากลับประเทศเกาหลีในตอนท้าย ๆ เดือนสิงหาคม เพื่อจะเตรียมตัวสำหรับอัลบั้มที่สาม โอชยองบันฮับ "O" ซึ่งวางแผงในวันที่ 29 กันยายน ซึ่งมีหลายเวอร์ชัน ทั้ง A ที่มีทั้งโปสเตอร์ และหนังสือภาพ แบบบี ที่มีโปสเตอร์และดีวีดีพิเศษ ในเดือนแรก อัลบั้มถูกขายไปแล้วกว่าแสนแผ่นในเกาหลีใต้ และขายได้มากกว่า 330,000 แผ่นในเวลาต่อมา โอชองบันฮับวางแผงอีกครั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2006 ซึ่งเร็วกว่าสองเดือนที่แบบหลักวางแผง พวกเขาได้เปลี่ยนแผนที่จะนำซิงเกิลที่สองออกมา เป็น บอลลูน และเก็ทมีซัม พร้อมทั้งเพลง네 곁에 숨쉴 수 있다면 (White Lie...) ที่แต่งโดย ชีอา จุนซูแห่งดง บัง ชิน กิ หลังจากที่สองแบบแรกได้วางแผงไป ก็ได้มีแผ่นพิเศษจาก DVD Vacation ละคร
ที่พวกเขาแสดง และในอีกแผ่นหนึ่ง
ก็ได้รวม โชว์เคสอัลบั้มสามของพวกเขาด้วย

SM ได้แถลงข่าวจะมีการวางแผงในไต้หวัน ซึ่งได้ระดับทอปอันดับห้าของซิงเกิล หลังจากนั้น ดง บัง ชิน กิได้เปลี่ยนจากการโปรโมตโอชองบันฮับแนวเพลง เฮวี อาร์แอนด์บี และจังหวะเทคโน มาเป็น บอลลูน ซึ่งเป็นเพลงป๊อบน่ารัก ๆ เกี่ยวกับความไร้เดียงสาของเด็กๆ โดยที่ได้จัดทำใหม่อีกครั้งจากเพลงของ Five Finger และเขียนใหม่ด้วยความรู้สึกโมเดิร์นกว่า มิวสิกวิดีโอ สมาชิกได้แต่งชุดสัตว์พร้อมกับลูกโป่งมากมาย และเด็กเล็กๆ ที่แต่งตัวเหมือนกัน และด้วยแนวของการแต่งตัวแบบนั้น พวกเค้าจึงใส่ชุดของเด็กๆในการ
แสดงอื่นๆ ทั้ง เสมิร์ฟ คนแคระทั้งเจ็ด พีเตอร์แพน มาริโอ และแฮรีพอตเตอร์ สมาชิกของดง บัง ชิน กิ ได้แยกกันไปปรากฏตัวในรายการวาไรตี้โชว์ต่าง ในปี 2006 มีทั้ง X-Man,Heroine 6, and Love Letter บางครั้งก็ไปแยกกัน แต่บางครั้งก็ไปกันครบทั้งห้าคน ดง บัง ชิน กิเป็นแขกพิเศษใน 51st Asia Pacific Film Festivalซึ่งจัดใน ไทเป พวกเขาได้เป็นผู้มอบรางวัลให้แก่นักแสดงหญิง เอเรียล ลินนและได้แสดงโอชองบันฮับ ในงาน 2006 MKMF Music Festival พวกเค้าได้รับรางวัลถึง 4 รางวัล รวมทั้งกลุ่มยอดเยี่ยม และศิลปินแห่งปี
ในงาน 16th Music Seoul Festival ซึ่งจัดในวันที่ 1 ธันวาคม พวกเขาได้รับรางวัลสามรางวัล รวมถึง แทซาง ซึ่งหมายถึง รางวัลศิลปินยอดเยี่ยมแห่งปี และพวกเขาได้รับรางวัลแทซังอีกครั้งในงาน 21st Golden Disk Awards 2006 ในวันที่ 14 ธันวาคม ปี 2006และได้ พนซาง ในรายการ SBS Gayo Awards 2006 ในวันที่ 29ธันวาคม พวกเขาได้รับรางวัลแทซัง
ซึ่งเสริมมาจากพนซัง ทำให้พวกเขาได้เป็น เจ้าชายแห่งรางวัล แทซังสี่รางวัล ของทั้งรายการใหญ่ๆในวงการเพลงเกาหลี และหลังจากอัลบั้ม 3 พวกเขาก็หายไปจากวงการเพลงเกาหลีถึง 1 ปี 7เดือนซึ่งเป็นการรอคอยที่ยาวนานมากสำหรับแคสสิโอเปีย และพวกเขาก็ทำให้วงการเพลงเกาหลีตกตะลึงอีกครั้ง กับการคังแบคของพวกเขาในเพลง mirotic หลังจากที่พวกเขาขึ้นโชว์ได้ไม่นานพวกเขาก็ได้รับรางวัลคว้าอันดับ 1 ใน M!Countdownและรายการ อินกองกิโยอีกด้วย ยอดขายอัลบั้มที่4 ของพวกเขาแค่วางขายไปได้แค่2วันก็สามารถถล่มชาร์ตประจำเดือนของ Hanteo ออฟไลน์ Yes24ออนไลน์ ได้อย่างไม่อยากเย็น และยอดขายอัลบั้ม4พวกเขาก็ยังเป็นอัลบั้ม ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในปี2008อีกด้วย



สู่ตลาดในญี่ปุ่นและอัลบั้มภาษาเกาหลีชุดที่สาม


ดง บัง ชิน กิได้กระตือรือร้นในการโปรโมทพวกเขาในประเทศญี่ปุ่น วันที่ 7 มีนาคม 2007 ได้มีการวางแผงซิงเกิลที่สิบ Choosey Lover ซึ่งติดอันดับ 4 ของชาร์ตโอริคอนในญี่ปุ่นในสัปดาห์ที่พวกเขาวางแผงทันที ซึ่งเป็นวงที่สิบที่มีซิงเกิลถึงสิบซิงเกิล ติดอยู่ในชาร์ตของโอริคอนทั้งหมด ตั้งแต่ StayWith Me Tonight

ซิงเกิลแรก ในเดือนเมษายน 2005 และในวันที่ 14 มีนาคม 2007 ดง บัง ชิน กิได้ออกอัลบั้มที่สองในชื่อ Five In The Black ซึ่งได้อันดับที่หกของโอริคอนอัลบั้มชาร์ท ต้นเดือนเมษายน ดง บัง ชิน กิได้อยู่กับรายการวิทยุรายสัปดาห์ TVXQ Bigeastation ของ Japan FM Network ซึ่งรายการนี้ ถ่ายทอดไปถึง 7 สถานีท้องถิ่น และโด่งดังในประเทศ ผู้ลงนามให้ดง บัง ชิน กิได้ขึ้นไปเป็นอันดับความนิยม หรือแฟนๆ ได้ถามถึงเวลาที่จะออนแอร์ทั้งในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว และโอซาก้า มากมาย ดง บัง ชิน กิ เป็นตัวแทนเกาหลีในงานของ MTV Video Music Awards Japan2007 ในวันที่ 26 พฤษภาคม ณ ไซทามะ ซูเปอร์อารีนา พวกเขาจะวางแผงซิงเกิลที่ 11 Lovin’ You ในวันที่ 13 มิถุนายน 2007
แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ดง บัง ชิน กิ หรือ SM Town มีข่าวรั่วไหล่ออกมา ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2007 จะมีซิงเกิลที่ห้า Heat Wave여름 뜨거움. :ซึ่งจะประกอบด้วยเพลงใหม่สองเพลง รีมิกซ์หนึ่งเพลง และบรรเลงสองเพลง ซึ่งเพลงรีมิกซ์นั้นเคยวางแผงมาก่อนแล้ว และจะเป็นไสตล์ฮิบฮอบ รีมิกซ์ ของเพลง Phantom ซึ่งอยู่ในแทรกซ์ที่เก้าของอัลบั้มเกาหลี โอชองบันฮับ"O" ซึ่งจะเปลี่ยนจังหวะใหม่ รวมถึงเนื้อร้องแรพอีกสองท่อนพิเศษ และคิมแจจุงเคยพูดเป็นนัยไว้ ว่าจะมีซิงเกิลเกาหลีใหม่ และเขายังบอกเมื่อไม่นานมานี้อีกว่า เค้าจะแต่งเพลงบางเพลง และความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเค้าคือ เพลงแนว
ใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับความรักที่ไม่มีคำตอบ ซึ่งอยู่ในซิงเกิลใหม่ ในเพลง 10 Questions 질문 แต่ยังไม่มีข้อมูลอื่นใดปรากฏชัดนักเกี่ยวกับเพลงที่ชื่อ Heat-Wave 여름 뜨거움.


2nd Asia Live Tour Concert 'O'
ดง บัง ชิน กิ ที่ปารีส
จากการวางแผงอัลบั้มใน 7 ประเทศ (เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีนและฮ่องกง) พวกเขาเริ่มการทัวร์ในประเทศเอเชียเพื่อจะโปรโมตสนับสนุนอัลบั้มที่สามของพวกเขา ทัวร์เริ่มขึ้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2007 ที่โอลิมปิกปาร์ค ในกรุงโซล
แฟนเพลง 12,000 คนให้ความสนใจ และเกินกว่า1500 คนของแฟนเพลงมาจากญี่ปุ่น จีน ประเทศไทย รวมทั้งประเทศอื่นๆในเอเชีย คอนเสิร์ตแสดงไปถึง 24 เพลง ทั้งร้องและเต้น รวมทั้งเพลงฮิตอย่าง hug และ rising sun ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้ จะไปอีก 6 สถานที่ซึ่งกินเวลากว่าครึ่งปี ทั้ง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ไทเป ฮ่องกง กรุงเทพ และกัวลาลัมเปอร์
โดยหนุ่มๆ ทั้งห้าคนได้เดินทางมาร่วมโปรโมทคอนเสิร์ท Yamaha presents TVXQ! The 2nd Asia Tour Concert "O" in Bangkok เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2007 ซึ่งคอนเสิร์ตจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 15 และ วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2007 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยวันที่ 15 ก็มีเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กับเซีย จุนซูอีกด้วย



2nd Live Tour 2007 - Five in the Black" (Japan)
เนื่องจากอัลบั้มที่สองที่ญี่ปุ่นที่วางแผงไป Five in the Black ดง บัง ชิน กิจึงจะมีคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 5 พฤษภาคมไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งตามตารางแล้วจะมีการแสดงถึง 14 ครั้งใน 9 เมือง แต่แผนการถูกแก้ไขเป็นการแสดง 16 ครั้งเนื่องจากคำแย้งจากแฟนๆ รวมทั้งโชว์ในนิปปอน บูโดกัง




อัลบัมชุดที่ 4 Mirotic ประสบความสำเร็จทั่วเอเชีย
ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2008 เป็นวันที่อัลบัมชุดที่ 4 "mirotic" ได้วางจำหน่าย ยอดจำหน่ายชุดที่ 4 ของทงบังชินกิ ได้จำหน่ายเกิน500,000 ชุด ส่งผลให้เป็นศิลปินที่มียอดขายสูงที่สุดในประเทศเกาหลีในรอบ 5 ปี
โดยแบ่งเป็น จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ 167,697 ชุด ช่องทางร้านค้า 335,140 รวมเป็น 502,837 ชุด โดยเฉพาะ pre-sale ของพวกเขามียอดจองสูงถึง 300,000 ชุด

อัลบัมชุดที่ 4 ที่ญี่ปุ่น The Secret Code ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ญี่ปุ่น
อัลบัมที่ 4 ของพวกเขาที่ญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า The secret code ได้รับการตอบรับสุดร้อนแรงในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 กับการวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มชุดที่ 4 The Secret Code ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 สัปดาห์พวกเขาสามารถจำหน่ายผลงานได้ทะลุเกิน 2 แสนชุดเรียบร้อย Oricon Style เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายอัลบั้มชุดที่ 4 ของดงบังชินกิ จนถึงวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา สามารถขายได้แล้วกว่า 190,432 ชุด ในขณะที่สัปดาห์ที่ 3 ประจำเดือนนี้ขายไปได้อีก 15,003 ชุด รวมแล้วก็จะได้ทั้งสิ้น 205,435 ชุด ย้อนกลับไปในวันที่วางจำหน่ายวันแรกเพียงวันเดียวสามารถจำหน่ายไปได้กว่า 82,000 ชุด นับได้ว่าร้อนแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยอดจำหน่ายในวันนั้นยังเป็นสถิติใหม่ของดงบังชินกิที่มียอดขายมากที่สุด ท่ามกลางสตูดิโออัลบั้มที่เคยวางจำหน่ายทั้งหมดของพวกเขา
ไม่แต่เพียงเท่านั้นผลงานอัลบั้มใหม่ของดงบังชินกิ ยังได้รับเลือกจากสมาพันธ์แผ่นเสียงประเทศญี่ปุ่นให้ได้รับตำแหน่ง GOLD อัลบั้มประจำเดือนมีนาคม โดยสำหรับตำแหน่ง GOLD นั้น จะมีไว้สำหรับงานเพลงที่มียอดจำหน่ายเกิน 100,000 ชุดขึ้นไป อย่างไรก็ตามสำหรับผลงานอัลบั้มชุดที่ 4 ที่เพียงเวลา 3 สัปดาห์ ก็สามารถจำหน่ายได้ 200,000 แผ่น นอกจากนี้ผลงานของพวกเขายังขายได้เกิน 250,000 แผ่นขึ้นไป ส่งผลให้ดงบังชินกิ ได้รับตำแหน่ง PLATINUM ไปในทันทีอีกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ทัวร์อัลบัมที่ 4 ของพวกเขา จะปิดท้าย ที่โตเกียวโดม หลังจากการทัวร์อารีน่ากว่า 18 รอบ รวมผู้ชมกว่า 500,000 คน