วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วีรภาพ สุภาพไพบูลย์


วีรภาพ สุภาพไพบูลย์

วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ (วี) เป็นดารานักแสดงละครโทรทัศน์ ซึ่งมักจะได้รับบทพระเอก
ประวัติ

วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เกิดวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2523
ที่โรงพยาบาลศิริราช จบการศึกษาระดับอนุบาลจาก
โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์ ระดับประถมจาก โรงเรียนทับทอง ระดับมัธยมจากโรงเรียนสารวิทยา ระดับอุดมศึกษา
จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

วีรภาพ เข้าสู่วงการด้วยการเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอ จากนั้นเป็นพิธีกรรายการ"คู่หูชะชะช่า" และ วี ก็ได้ครองตำแหน่ง"โดมอนแมนปี 1999" จากนั้นไม่นาน วี ก็ได้รับการติดต่อจาก อรวรรณ สังวริบุตร ให้ไปลองเทสต์หน้ากล้อง และได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดทางช่อง 7 ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสไปเรียนการแสดงกับครูช่าง-ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง จากนั้น วี ได้แสดงละครเรื่องแรกคือเรื่อง "กว่าจะรู้เดียงสา"
ผลงานการแสดง

1. กว่าจะรู้เดียงสา (ช่อง7สี) / (คู่กับจิ๊บ ศิตภัทร)
2. คมพยาบาท (ช่อง7สี) / (คู่กับยุ้ย จีรนันท์)
3. หัวใจในสูญญากาศ (ช่อง7สี) / (คู่กับชมพู่ อารยา)
4.
ลูกหลง (ช่อง7สี) / (คู่กับจิ๊บ ศิตภัทร)
5. แม่มดยอดยุ่ง (ช่อง7สี) / (คู่กับคลาวเดีย จักรพันธุ์)
6. ฆาตกรกามเทพ (ช่อง7สี) / (คูกับกบ สุวนันท์)
7. ช็อปปิ้งปิ๊งรัก (ช่อง7สี) / (คู่กับเมษ์ บัณฑิตา)
8. รุ่งทิพย์ (ช่อง7สี) / (คู่กับยุ้ย จีรนันท์)

9. เกล็ดมรกต (ช่อง7สี) / (คู่กับเอ๊ะ อิศริยา)
10. แม่อายสะอื้น (ช่อง7สี) / (คู่กับนุ่น วรนุช)
11. เดือนเดือด (ช่อง7สี) / (คู่กับกบ สุวนันท์)
12. คู่แกร่งแข่งกันเก่ง (ช่อง7สี) / (คู่กับพิ้งกี้ สาวิกา)

13. ผักบุ้งกับกุ้งนาง (ช่อง7สี) / (คู่กับยุ้ย จีรนันท์)

14. อังกอ 2 (ช่อง7สี) / (คู่กับพิ้งกี้ สาวิกา)
15. สองเสน่หา (ช่อง7สี) / (คู่กับอั้ม พัชราภา)
16. นางสาวส้มหล่น (ช่อง7สี) / (คู่กับปู ไปรยา)
17. ใจเดียว (ช่อง7สี) / (คู่กับป๊อก ปิยธิดา)
18. เหมือนเราจะรักกันไม่ได้ (ช่อง7สี) / (คู่กับแตงโม ภัทรธิดา)

19. คมฅน (ช่อง7สี) / (คู่กับจุ๋ย วรัทยา)
20. วิวาห์อลเวง (ช่อง7สี) / (คู่กับจุ๋ย วรัทยา)
21. บุษบาเร่รัก (ช่อง7สี) / (คู่กับกบ สุวนันท์)
22. นางทาส (ช่อง7สี)
23. ดาวเปื้อนดิน (ช่อง7สี) / (คู่กับนุ่น วรนุช)

24. คู่ป่วนอลวน (ช่อง7สี) / (คู่กับแตงโม ภัทรธิดา)
25. เมียหลวง (ช่อง7สี)/รับเชิญ (คู่กับอั้ม พัชราภา)
26. บ่วงหงส์ (ช่อง7สี) / (คู่กับแพนเค้ก เขมนิจ)
27. เหลี่ยมรัก (ช่อง7สี)/(คู่กับขวัญ อุษามณี)

ภาพยนตร์

1. สวย สิงห์ กระทิง แซ่บ (ปี 2551)
2. บุษบาสวยเปรี้ยวกับสองเขี้ยวกลิ้ง
3. ผีตุ๋มติ๋ม (ปี 2552)




ละครพิเศษเนื่องในวันสำคัญ
1. แม่...พระผู้ให้
2. แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโพสพ

ผลงานมิวสิกวิดีโอ

1. เพลงรู้สึกดีๆ (ศิลปินแหม่ม-พัชริดา)
2. มิวสิกวิดีโอของวงเครซี่
ผลงานโฆษณา
1. โฆษณายากันยุง Off (ออฟ)

ผลงานพิธีกร
1. รายการคู่หูชะชะช่า
2. รายการภาคสนามในรายการ 5 4 3 2 โชว์
3. รายการเวทีชีวิต
4. รายการฮ่าไฮ้ไทยแลนด์

สถานะในวงการบันเทิง
1. ดารานักแสดง
2. พิธีกร

โทษประหารชีวิต

โทษประหารชีวิต

เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตผู้ใดแล้ว ศาลที่เป็นเจ้าของคดีจะได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ส่งไปยังผู้บัญชาการเรือนจำในท้องที่ที่ศาลนั้นตั้งอยู่ หมายจะระบุถึงชื่อโจทก์ จำเลย ฐานความผิด จำเลยต้องโทษตามบทกฎหมายใด มาตราใด พร้อมคำสั่งว่าภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2479 ให้ประหารชีวิตจำเลย เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับหมายดังกล่าวแล้ว จะนำนักโทษไปประหารชีวิตในทันทีไม่ได้ ต้องรอให้ครบกำหนด 60 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาตามมาตรา 262 ถ้านักโทษหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ยี่นฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษ และทรงยกเรื่องราวมาก่อนครบ 60 วัน ก็ดำเนินการประหารชีวิตได้


ในทางปฏิบัติ เมื่อนักโทษได้ยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ต้องรอฟังพระบรมราชวินิจฉัยเสียก่อน จึงจะดำเนินการขั้นต่อไป ฎีกาของนักโทษประหารให้ยื่นได้ครั้งเดียวเท่านั้น ในการประหารชีวิตนักโทษนั้น ให้มีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย ผู้บัญชาการเรือนจำในท้อง ที่ที่ทำการประหาร เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานเรือนจำระดับหัวหน้าฝ่าย แพทย์การประหารชีวิตส่วนมากจะทำที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีหรือผู้แทนร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย โดยกรมราชทัณฑ์จัดผู้แทนไปดูแลความเรียบร้อยในการประหารชีวิต ก่อนวันประหารชีวิต ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ถูกประหาร พร้อมทั้งรับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือของนักโทษที่มีอยู่ในสำนวนและหมายศาลมาทำการตรวจสอบ การตรวจสอบนั้นให้สอบกับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือที่เก็บอยู่ ณ กองทะเบียนประวัติอาชญากร ตามเลขคดีและนามผู้ต้องโทษ เมื่อตรวจแล้วรายงานผลการตรวจสอบและส่งแผ่นพิมพ์ลายนิ้วซึ่งได้จัดการพิมพ์ขึ้นคราวนี้ 1 ฉบับ กับแบบพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องโทษที่เอาไปจากสำนวนตามหมายศาลไปยังคณะกรรมการ เรือนจำซึ่งมีหน้าที่ต้องทำการประหารทำการตรวจสอบคดี ตำหนิ รูปพรรณตามทะเบียนรายตัว ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อมิให้มีการประหารผิดตัว



เมื่อถึงกำหนดวันประหารชีวิต เจ้าพนักงานเรือนจำจะจัดนิมนต์พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาให้นักโทษที่ถูก ประหารที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนนักโทษที่มิได้นับถือศาสนาพุทธ มีความปรารถนาจะประกอบพิธีกรรมตามศาสนาก็อนุญาตได้ตามสมควร หากนักโทษมีความประสงค์จะขอทำพินัยกรรมก็จะจัดการทำให้จัดหาอาหารมื้อสุดท้ายให้นักโทษก่อนนำไปประหาร ผู้บัญชาเรือนจำจะนำคำสั่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยสำเนาคำพิพากษาอ่านให้นักโทษฟังนำนักโทษประหารไปยังที่จัดเตรียมไว้ จัดการยิงให้ตายต่อหน้าคณะกรรมการ ให้คณะกรรรมการตรวจนักโทษว่าได้ตายแล้วจริง พิมพ์ลายนิ้วมือลงนามรับรองว่าเป็นลายนิ้วมือของนักโทษประหารจริง ส่วนศพถ้ามีญาติมารับก็อนุญาตถ้าไม่มีญาติมาขอรับ เรือนจำจะดำเนินการให้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กำหนดให้ประหารชีวิตก่อน 07.00 น. ตั้งแต่พ.ศ. 2505 ได้เปลี่ยนมาดำเนินการใน เวลาเย็น ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป

โทษประหารชีวิต 21 สถานสมัยโบราณ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม
สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก
สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย
สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า
สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย
สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย
สถาน 10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง (นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)
สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดคอ รูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก
สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)
สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า
สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย
สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย
สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้ กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย
สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย
สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย


โทษประหารชีวิตในปัจจุบัน

การฉีดสารพิษเข้าร่างกาย


วิธีการประหารชีวิตแบบนี้ เป็นการฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายของนักโทษ การประหารวิธีนี้ถูกใช้ใน มลรัฐเทกซัส และ ในมลรัฐอื่น ๆ มีวิธีการเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นแรก จะฉีดสาร Sodium Thiopental,Barbiturate, ซึ่งจะทำให้นักโทษหมดสติ
ขั้นตอนที่ 2 จากนั้นจะฉีด Pancuronium Bromide, ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายทำให้ปอดและกระบังลมหยุดทำงาน
ขั้นตอนที่ 3 ก็จะฉีดสาร Potassium Chloride เข้าไปก็จะทำให้หัวใจหยุดทำงาน
หลายฝ่ายให้ความเห็นว่า "การประหารชีวิตวิธีนี้เป็นวิธีที่มีมนุษยธรรมมากที่สุด" แต่นายแพทย์ กล่าวว่า วิธีการประหารชีวิตวิธีนี้จะกระทำได้ยาก ถ้าหากว่านักโทษผู้นั้นติดยาเสพติดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น นักโทษประหาร โดยใช้วิธีนี้กรมราชทัณฑ์ รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา เรือนจำทหาร และเรือนจำแต่ละรัฐอีก 32 รัฐ ได้ใช้วิธีนี้ ในการประหารชีวิตนักโทษ ปัจจุบันประเทศไทยใช้วิธีการประหารชีวิตแบบนี้


การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า


นักโทษจะต้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งถูกสร้างโดยเฉพาะ นักโทษจะถูกโกนผมและขนตามร่างกายออกทั้งหมด เพื่อจะทำให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปในร่างกายของนักโทษได้ง่าย เมื่อมีการเปิดกระแสไฟฟ้า ร่างกายของนักโทษ ก็จะกระตุกโดยมีผ้าคาดรั้งตัวไว้เกิดอาการอาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระ ออกทั้งหมด ผู้ที่เคยเห็นโทษประหารชีวิตด้วยวิธีการนี้กล่าวว่า จะได้กลิ่นไหม้ด้วย ปริมาณ กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการประหารชีวิต จะแตกต่างกันไปตามระบบของแต่ละรัฐ โดยจะคำนึงถึงน้ำหนัก ตัวของผู้ต้องขังด้วย เช่น ในมลรัฐจอร์เจีย นักโทษประหารจะได้รับกระแสไฟฟ้า 2,000 โวลต์. เป็นเวลา 4 วินาที จากนั้น 1,000 โวลต์. อีก 7 วินาที และ 208 โวลต์ อีก 2 นาที

การประหารโดยการรมแก๊ส

นักโทษจะต้องอยู่ในห้อง หรือตู้ที่ไม่มีอากาศเข้าได้ และมีช่องใส่สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ หรือ โซเดียมไซยาไนด์ ผสมกับกรดไฮโดรคลอริก จะทำให้เกิด แก๊สไฮโดรไซยานิก ซึ่งจะทำลายความสามารถในการผลิตฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด นักโทษจะหมดสติในเวลาไม่กี่วินาที และจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นานนัก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่ง สวมชุดและหน้ากากป้องกันแก๊สจะทำความสะอาดศพนักโทษ โดยปราศจากสารพิษ ในประเทศสหรัฐอเมริกามี 7 มลรัฐ ที่ใช้วิธีการประหารแบบนี้

การแขวนคอ

เจ้าหน้าที่จะผูกเชือกที่คอของนักโทษประหาร จากนั้นประตูกลซึ่งอยู่ที่พื้นใต้นักโทษจะเปิดออก นักโทษก็จะตกลงไปซึ่งจะทำให้เกิดภาวะการ ขาดออกซิเจน เพื่อป้องกันการที่คอนักโทษจะขาด เจ้าหน้าที่ต้องคำนวณ ความยาวของเชือกให้สัมพันธ์กับน้ำหนักตัวของนักโทษ รัฐวอชิงตัน และ รัฐเดลาแวร์ใช้วิธีการประหารชีวิตแบบนี้ ส่วนรัฐ New Hampshire จะใช้วิธีดังกล่าว ถ้าหากวิธีการฉีดสารพิษเข้าร่างกายถูกห้ามใช้

การยิงเป้า

จะมีเจ้าหน้าที่ 5 คน ถือปืนเล็งไปที่นักโทษประหาร แต่บางคนจะถือปืนที่ไม่มีลูกกระสุน ดังนั้น จะไม่สามารถ ทราบได้ว่าเพชรฆาต คือใคร
นักโทษชาย แกรรี่ กิลมอร์ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยวิธีการนี้ที่ Utahในปี 1977 ซึ่งนับเป็นนักโทษประหารชีวิตรายแรกของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าที่มีขึ้นในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1967 ปัจจุบันวิธีการนี้ยังมีใช้อยู่ในรัฐ Idaho และ Utah ส่วนในรัฐ Oklahoma จะนำเอาวิธีการนี้มาใช้ถ้าหากวิธีการรมแก๊สถูกสั่งห้าม

ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น




สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (「雪女」, yuki onna, – นางหิมะ)

ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงไหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย

ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสตรีหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือด และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสตรีหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสตรีหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว
หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสตรีหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสตรีหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสตรีหิมะนางนั้นอีกเลย
ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องเล่าของ ยุกิอนนะ จะปรากฏในทางตอนเหนือของเกาะญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางแถบฮอกไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเทะ เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี จึงมีเรื่องเล่าขานของยูกิอนนะ มากกว่าท้องที่อื่นๆ

โรคุโรคุบิ (「ろくろ首」, Rokurokubi, ろくろ首) หรือ สาวคอยาว


เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับ มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ต้องคำสาปหรืออาถรรพ์ เมื่อตกกลางคืนจะยืดคอออกไปได้ยาวมาก มักจะเป็นเฉพาะในผู้หญิง มีพฤติกรรมที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สาวคอยาวจะดูดพลังของเหยื่อที่เป็นทั้งคนและสัตว์ และจะใช้ลิ้นเลียเพื่อดับไฟตะเกียง ซึ่งสาวคอยาวนั้นมักจะ เป็นผู้หญิงที่ต้องพบกับรักที่ผิดหวัง เพราะว่าเมื่อสามีมาพบว่าภรรยาตนเป็นสาวคอยาว มักจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว
ส่วนมากสาวคอยาวมักจะแฝงตัวอยู่กับคนธรรมดาได้ แต่ต้องทุกข์ทรมาณกับการพยายาม ซ่อนร่างจริงของตัวเอง ถึงแม้ว่าสาวคอยาวพยายามปิดบังร่างจริง แต่ความที่เป็นผีทำให้มีความรู้สึกที่จำเป็นจะต้อง แสดงร่างคอยาวออกมาเสมอๆ สาวคอยาวจึงมักจะแสดงร่างจริงออกมาต่อหน้าพวกขี้เมา หรือพวกงี่เง่าเท่านั้น สาวคอยาวไม่มีนิสัยชอบหลอกคนเหมือนผีร้ายอื่นๆ เพราะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก ทั้งยังคิดว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติได้ บางครั้งอาการคอยาวจึงออกมาตอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตัวเองปวดคอ และฝันเห็นสถานที่ต่างๆ ในมุมมองที่แปลกๆ
บางครั้งก็ว่าเป็นการถอดวิญาณในขณะนอนหลับ แต่ว่าเป็นการถอดวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ จึงถอดออกไปได้แค่ศีรษะเท่านั้น ทำให้กลายเป็นผีสาวคอยาวขึ้นมา


สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (「口裂け女」, Kuchisake onna, 口裂け女)


เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก
สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ

สึจิโนะโกะ (「ツチノコ」, Tsuchinoko, ツチノコ)


สัตว์ประหลาดจำพวกสัตว์เลื้อยคลานคล้ายงู พบในประเทศญี่ปุ่น ในคันไซและเกาะชิโกะกุ เรียก บะชิเฮะบิ (bachi hebi)
สึจิโนะโกะ มีรูปร่างตามคำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น มีรูปร่างยาวคล้ายงู แต่ลำตัวอ้วนป้อม สั้น ไม่มีขา ความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ถึง 80 เซนติเมตร มีลวดลายคล้ายงู แต่มีปลายหางแหลมยาวออกมา เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว บ้างก็กล่าวว่าสามารถกระโดดได้ไกลหลายเมตรด้วย บ้างก็บอกว่ามันร้องเสียงว่า " จี่ " บ้างก็กล่าวว่าเคยเห็นมันงับหางตัวเองแล้วเคลื่อนที่ไปข้าง ๆ เหมือนท่อนไม้กลิ้ง จากลักษณะตามที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้คิดได้ว่า สึจิโนะโกะมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าจำพวกหนึ่งที่เรียกว่า กิ้งก่าลิ้นสีน้ำเงิน (blue-tongued lizard) หรือ กิล่ามอนสเตอร์ (Gila Monster) ที่พบในทะเลทรายทวีปอเมริกาเหนือ เป็นต้น ซึ่งถ้าสึจิโนะโกะมีจริง อาจเป็นไปได้ว่าเป็นสัตว์จำพวกนี้ก็ได้ ในขณะที่บางคนเชื่อว่า แท้ที่จริงแล้วสึจิโนะโกะก็คืองูที่กินอาหารชิ้นใหญ่กว่าลำตัวเข้าไป ทำให้ลำตัวป่องออก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า การอ้างว่าพบเห็น สึจิโนะโกะมีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น
หลักฐานแรกที่มีการกล่าวถึงสึจิโนะโกะ สามารถย้อนกลับไปไกลถึงได้ 10,000 ปีก่อน ในยุคโจมง (Jōmon Period) (10,000 - 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีวัตถุที่คล้ายสึจิโนะโกะ ในยุคเอโดะ ในสารานุกรมเล่มแรกของญี่ปุ่นก็ได้มีการกล่าวถึงสึจิโนะโกะด้วย โดยเรียกว่า เยตสุ เฮบิ (yatsui hebi)

อย่างไรก็ตาม สึจิโนะโกะ ได้ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นหลายอย่าง เช่น มีการประกาศให้รางวัลตั้งแต่ 3 ล้าน ถึง 20 ล้านเยนแก่ผู้ที่สามารถจับสึจิโนะโกะเป็น ๆ มาได้ หรือใน การ์ตูน เป็นต้น เช่น โดราเอมอน มีอยู่ตอนหนึ่งใช้ชื่อว่า "ค้นพบ สึจิโนะโกะ" (หรือตอน "เจองูดิน!" ในเล่มที่ 9 ของเนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์) ในเนื้อเรื่องกล่าวถึง โนบิตะที่ต้องการจะเป็นผู้ที่มีชื่อจารึกไว้ในสารานุกรมบุคคลสำคัญของโลก จึงขึ้นเครื่องไทม์ แมชชีน ไปพร้อมกับโดราเอมอนเพื่อหาซื้อ สึจิโนะโกะ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมในโลกอนาคต มาอวดคนในยุคปัจจุบันว่า ตนเป็นผู้ค้นพบสึจิโนะโกะ แต่ปรากฏว่าเมื่อนำกลับมาแล้ว สึจิโนะโกะได้หนีหายไป ท้ายที่สุดปรากฏว่า ไจแอนท์เป็นผู้ค้นพบสึจิโนะโกะไป

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แฮมเตอร์



แฮมสเตอร์

แฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง



ลักษณะทั่วไป




ลักษณะทั่วๆไปของแฮมสเตอร์ ขนาดตัวจะมีขนาดเล็ก อ้วนป้อม และมีหางสั้นกว่าลำตัว และมีขนาดเล็ก อย่างเห็นได้ชัด ส่วนสีขนของแฮมสเตอร์จะมีสีหลายสี อาทิเช่น ดำ, เทา, ขาว, น้ำตาล, เหลืองเข้ม, เหลือง และแดง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์ ส่วนสีขนด้านใต้ท้องจะเป็นสีขาว มีตาดวงกลมโต และจมูกที่ไวต่อการได้กลิ่น แฮมสเตอร์จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีแกนสันหลัง ไฟลัมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม


หนูแฮมสเตอร์สามารถกินอะไรได้บ้าง

คำถามสำหรับผู้เลี้ยงที่เริ่มเลี้ยง หรือ ผู้ที่คิดจะเลี้ยงเจ้าหนูแฮมสเตอร์ ให้หัวข้อนี้เรามาทำความเข้าใจกับ อาหารของหนูแฮมสเตอร์ และ ของกินต่างๆ ที่หนูสามารถกินได้ และ สิ่งใดที่ไม่ควรให้กินกันครับ

หนูแฮมสเตอร์นั้นสามารถกินอาหาร หรือของกินได้หลากหลายชนิดครับ อาจจะพูดได้ว่าทุกชนิดเลยก็ว่าได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกพักชนิดต่างๆ ผลไม้ชนิดต่างๆและ ธัญพืช ที่หลากหลายครับ ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับหนูบ้านทั่วๆไปที่สามารถกิน แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง


แต่สำหรับหนูแฮมสเตอร์แล้ว ภูมิต้านทานไม่เท่ากับหนูบ้านทั่วๆไปครับ ดังนั้นในการเลี้ยงดูหนูแฮมสเตอร์ อาหารนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากอีกอย่างหนึ่งในการ เลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ที่ผู้เลี้ยงควรจำให้ในสิ่งที่ถูก เขากินไม่ใช่ว่าควรให้กิน ของกินบางอย่างที่หนูแฮมสเตอร์นั้นทาน หรือ ชอบกิน ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ควรให้กินนะครับ เราต้องดูถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในการให้อาหารแต่ละชนิดด้วยครับ
สิ่งที่ผู้เลี้ยงให้เป็นประจำและก็เกิดปัญหาบ่อยๆสำหรับหนูแฮม
1. ขนมห่อ & ขนมทั่วๆไป สำหรับผู้เลี้ยงบางท่านแล้วกินขนมและก็ นำขนมนั้นๆให้หนูแฮมสเตอร์กิน ซึ่งผลที่ตามมานั้นอาจจะทำให้หนูแฮมสเตอร์นั้นท้องเสีย ได้ครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาหารจำพวกนี้มีสารปรุงแต่งรสชาติ สี สารกันบูด และสารอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบ ต่อหนูแฮมสเตอร์ ไม่มากก็น้อย ซึ่ง สารบางตัวจะเข้าไปสะสมอยู่ในตัวหนูแฮมสเตอร์ แต่สำหรับบางตัวที่ร่างกายทนไม่ใหวก็อาจจะ เป็นโรคท้องเสีย บางตัวอาการหนักจนอาจจะเสียชีวิตได้ครับ
2. ผัก & ผลไม้ ค้างเก็บ สำหรับผลไม้ หรือผักบางอย่าง ผู้ให้นั้นสามารถให้ได้ครับแต่ สำหรับผักบางชนิดที่หนูแฮมสเตอร์กินแล้วไม่หมดผู้เลี้ยงควรที่จะ เก็บออกทิ้งครับ และไม่ควรให้อาหารจำพวกผัก หรือผลไม้ บ่อยๆครับ เพราะว่าอาจจะทำให้หนูนั้นท้องเสียได้ครับ ซึ่งถ้าให้แนะนำแล้ว ผักที่ให้กินได้บ่อยๆ สำหรับผมก็จะเป็น บวบเหลี่ยม แครอท ครับ เนื่องจาก 2 ชนิดนี้ถ้าหนูแฮมสเตอร์นั้นกินไม่หมด ก็จะแห้งไปเองครับ และก่อนที่จะให้อาหารจำพวกนี้ควรที่จะล้างให้สะอาดก่อนครับ

การแบ่งประเภทสายพันธุ์



- Subfamily Cricetinae
- Genus Allocricetulus
- Species A. curtatus - Mongolian Hamster
- Species A. eversmanni - Kazakh Hamster, also called Eversmann's Hamster
- Genus Cansumys

- Species C. canus - Gansu Hamster
- Genus Cricetulus
- Species C. alticola - Ladak Hamster
- Species C. barabensis, including "C. pseudogriseus" and "C. obscurus" ChineseStripedHamster, also called Chinese Hamster; Striped Dwarf Hamster
- Species C. griseus - Chinese Hamster
- Species C. kamensis - Tibetan Hamster
- Species C. longicaudatus - Long-tailed Hamster
- Species C. migratorius - Armenian Hamster, also called Migratory Grey Hamster; Grey Hamster; Grey Dwarf Hamster; Migratory Hamster
- Species C. sokolovi - Sokolov's Hamster
- Genus Cricetus
- Species C. cricetus - European Hamster, also called Common Hamster or Black-Bellied Field Hamster
- Genus Mesocricetus - Golden Hamsters
- Species M. auratus - Syrian Hamster, also called the Golden hamster or Teddy Bear hamster)
- Species M. brandti - Turkish hamster, also called Brandt's Hamster; Azerbaijani Hamster
- Species M. newtoni - Romanian Hamster

- Species M. raddei - Ciscaucasian Hamster
- Genus Phodopus - Dwarf Hamsters
- Species P. campbelli - Campbell's Russian Dwarf Hamster
- Species P. roborovskii - Roborovski Hamster, sometimes known as the Mongolian Hamster, causing confusion with Allocricetulus curtatus
- Species P. sungorus - Winter White Russian Dwarf Hamster
- Genus Tscherskia
- Species T. triton - Greater Long-tailed Hamster, also called Korean Hamster


เลือกซื้อ-หนูแฮมสเตอร์

การเลือกซื้อนะครับ ก่อนจะซื้อยากให้เพื่อนๆพร้อมที่จะดูแลเจ้าตัวเล็กนี้ก่อน เพื่อที่เวลาซื้อมาแล้วจะได้ไม่เป็นภาระ ครับ เพราะสิ่งที่คุณจะซื้อนั่นมัน "ชีวิต" นึงเลยนะครับ

เราจะดูหนูแฮมไงว่าแข็งแรงเวลาเลือกซื้อ ถ้าเป็นผมไปซื้อนะครับ ผมก็จะดูที่แววตาของหนูครับว่าสดใสหรือป่าว สภาพหนูครบถ้วน ไม่มีรอยถูกกัด หรือเลือดออกและก็ต้อง ดูตรง ก้น ด้วยครับว่า ท้องเสีย หรือเป็นโรคหรือป่าวครับ ขนล่วงหรือป่าว จะลองจับๆหนูดูงะครับ ว่าจะมี
ขนติดมากับมือเราใหม ถ้ามีก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ขนอาจจะล่วงครับ และอีกอย่าง ก็ต้องดูว่าหนูไม่ผอมงะคับ ดูอีกอย่างนะครับ ก็คือ ขนต้องไม่เหม็นนะครับอายุประมาณ 3 อาทิตย์ หรือ1เดือน คับ

เลือกดีๆนะครับ มีอีกอย่างครับ หนูที่เราซื้อมาอาจจะเป็นพี่นองกันได้ะครับ ถ้าสีและรวดรายคล้ายๆกันนะครับแพราะผมก็เป็นคนเลี้ยงหนูขายอยู่ เวลาเอาไปขายเขาก็จะจับมารวมกันใช่ไหมครับ แล้วคราวนี้ก็อยูที่คนซื้อแล้วละครับ ว่าจะเลือกตัวใหนถ้าคุณเห็นอีกตัวสวย
และอีกตัวก็สวยเหมือนกัน นั่นละคับสองตัวนั้นอาจจะเป็นคลอกเดียวกันก็ได้ครับ คราวนี้ละ พี่กับน้องก็ผสมกัน ส่วนลูกออกมาก็แล้วแต่จะคิดครับการหลีกเลี้ยงนั้นทำได้ยากครับ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าตัวไหน เป็นพี่น้องกันและเจ้าของร้าน ก็รับมาอีกทีก็ไม่รู้อีกงะว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เรื่องนี้ก็แค่เอามาบอกกันให้รู้เฉยๆนะครับ ไว้ไปหาวิธีกันเองนะครับ

หนูแฮมสเตอร์พร้อมผสมพันธุ์

หนูแฮมสเตอร์พร้อมที่จะผสมพันธุ์กันเมื่อใหร่ เพื่อนๆบางคนอาจจะอยากรู้นะครับ เพราะว่าต้องการที่จะเห็น ลูกเล็กๆ แดงๆ และ อยากที่จะเห็น ว่าเขาเลี้ยงลูกเขาอย่างไรเมื่อไหร่โต และ หน้าตาจะเป็นอย่าไรบ้าง

คำถามในหัวข้อนี่ก็ มีมาบ่อยเหมือนกันครับ ผมก็เลย ขอยกมาเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาครับ หนูพร้อมผสม หนูแฮมสเตอร์จะพร้อมผสมพันธุ์ เมื่อ เขาอายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง - 3 เดือนครับ ฟังดูเร็วๆ นะครับ เมื่อ เราเลี้ยงเขาแล้ว ก็อาจจะได้เห็นลูกเขา แน่ๆครับ ไม่ต้องห่วง นอกสะจาก ตัวทีเราซื้อมานั้น จะไม่ใช่ตัวผู้กับตัวเมีย แฮมสเตอร์ สามารถท้องซ้อนได้หากไม่แยกตัวผู้ออกจากตัวเมียหลังจากมันออกลูก เพราะเมื่อตัวเมียออกลูกแล้ว ตัวผู้ก็ยังจะผสมพันธุ์อีก ทำให้ตัวเมียท้องซ้อนขณะที่ลูกที่เพิ่งออก ก็ยังไม่หย่านม เพราะฉะนั้นต้องแยกตัวผู้ออก และไม่ควรให้ตัวเมียท้องติดกันเพราะจะทำให้ร่างกายโทรมจนไม่สามารถมีลูกอีกได้ และกลายเป็นหนูพิการที่ขาใช้การไม่ได้อีกด้วย

ของเล่นหนูแฮมสเตอร์

ของเล่นหนูแฮมสเตอร์มีอะไรบ้าง จากหัวข้อที่มีคนถามมากัน ผม ก็เลยขอจัดทำหน้านี้มาอธิบายกันหน่อย หนูแฮมสเตอร์มี ของเล่นมากมาย แทบจะบรรยายไม่ถูก แต่ ละชนิดจะมีหลากหลายรูปแบบมาก เลยครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากสร้างกรงหนูแฮมส ให้มีของเล่น เยอะๆก็ควร นึกถึงเนื้อที่ในกรง กันหน่อยนะครับ
เพราะว่า กรงบางประเภท อาจจะวางได้แค่นิดเดียว หรือไม่ กรง บางประเภท เมื่อใส่ของเล่นลงไปแล้ว หนู นั้นสามารถปีนออกมานอกกรงได้ อันนี้ก็ ต้องระวัง กันหน่อยนะครับ


1.วงล้อที่วิ่ง 2.ที่มุด / ท่อ 3.ที่ปีนป่าย / ท่อ ต่อ 4.เขาวงกต 5.ลูกบอลออกกำลังกาย 6.ไม้กระดก


อุดม แต้พานิช

อุดม แต้พานิช


อุดม แต้พานิช หรือ โน้ส เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2511
ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรของนางทองสุข แต้พานิช มีพี่น้อง 3 คน เป็นคนกลาง
ไม่สำเร็จการศึกษาจากแผนกวิชาพาณิชยศิลป์ วิทยาลัยเพาะช่าง

เริ่มงานแรกเป็นคนเขียนการ์ตูนที่ชัยพฤกษ์ ทำได้สองเดือนก็ลาออกด้วยเหตุผลที่มันไม่ตรงกับใจเท่าไร เมื่อได้อ่าน ไปยาลใหญ่ ฉบับแรกบนแผงรู้สึกถูกใจในบุคลิกของหนังสือ อยากร่วมงานด้วย ครั้งแรกไปสมัคร TRY OUT เป็นนักแสดงละครของศิษย์สะดือ ด้วยลูกตื้อและบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร จึงได้ร่วมงานกับศิษย์สะดือสมใจ ความรักของมาลัยในห้องไอซียู เป็นละครเรื่องแรกที่เล่น ได้รับบทเป็นคนแก่ในโรงพยาบาล จบจากละครก็ก้าวเข้าสู่ถนนหนังสือ ในตำแหน่งฝ่ายศิลปของไปยาลใหญ่
ที่ไปยาลใหญ่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต สังคมในไปยาลใหญ่ล้วนเป็นนักอ่านตัวยงด้วยกันทั้งนั้น อุดมได้รับอิทธิพลนี้มาและได้มาค้นพบโลกของตัวเองอีกโลกหนึ่งที่นี่ คือโลกของการอ่าน แล้วยังค้นพบความสามารถในการเขียนหนังสือ เมื่ออุดมอ่านหนังสือมากๆ จึงเกิดแรงใจอยากเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตแตงโมปั่น งานเขียนเรื่องแรกแจ้งเกิดในสนามไปยาลใหญ่นั่นเอง มี ศุ บุญเลี้ยงเป็นบรรณาธิการ หลังจากงานได้ตีพิมพ์ อุดม เริ่มรับผิดชอบคอลัมน์ต่างๆ ในไปยาลใหญ่ โดยใช้นามปากกาว่า "โน้สหน้ามึน หลานเจ๊นี้ขายผลไม้" ควบคู่ตำแหน่งฝ่ายศิลปของหนังสือ ใครที่เป็นแฟนไปยาลใหญ่คงคุ้นเคยและติดอกติดใจกับเกมส์กวนๆ ในคอลัมน์ ‘สารภีมีดีให้’ อุดมเป็นสารภีในช่วงท้ายของหนังสือก่อนที่ไปยาลใหญ่จะปิดตัวเองลง

อุดมพาความสามารถเข้าสู่เส้นทางสายบันเทิงโดยเริ่มจากเป็นตัวประกอบในรายการวิก 07 ของ เจเอสแอล และเล่นเกมส์รายการจุดเดือด ทางผู้ใหญ่ในเจเอสแอลประทับใจลีลาจึงชักชวนมาร่วมงานด้วยในรายการ ยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็นรายการ Comedian Show ที่มีความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของช่อง 5 ในยุคนั้น จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่าง เต็มตัวในชื่อ เสนาฯ โน้ส และต่อมาในยุคอดีตนั้นเคยแสดงเป็นตัวปริศนาในภาพ VTR กับคุณหมี ปลื้มที่ใช้ชื่อว่า "ปริศนา อ้วน-ผอม" ในรายการชิงร้อยชิงล้าน ของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ 17 มกราคม 2533 - 29 มกราคม 2535 ทางช่อง 7 หลังจากความสำเร็จในครั้งแรก อุดม แต้พานิช ได้ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากรายการยุทธการขยับเหงือก และได้สร้างปรากฏการณ์ขึ้นในเมืองไทย นั่นก็คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้คนไทย ได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ ในชื่อไทย เดี่ยวไมโครโฟน เป็นครั้งแรก
การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 และนี่ถือเป็นการเริ่มต้น ส่งผลให้ อุดม แต้พานิช ได้กลายเป็นตลกเดี่ยวชั้นแนวหน้าของประเทศจนเกิด เดี่ยว 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 ซึ่งมีคนรอซื้อบัตรและเข้าดูเป็นจำนวนมาก


การแสดงเดี่ยวไมโครโฟน

- ครั้งที่ 1 (เดี่ยวไมโครโฟน) 2538 เปิดการแสดงทั้งหมด 3 รอบ ทำการแสดงที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ความจุ 450 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 2 (อุดม โชว์ห่วย) 2539 เปิดการแสดงทั้งหมด 14 รอบ ทำการแสดงที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต ความจุ 450 ที่นั่ง

- ครั้งที่ 3 (อุดม การช่าง) 2540 เปิดการแสดงทั้งหมด 22 รอบ ทำการแสดงที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว
- ครั้งที่ 4 (เดี่ยว 4) 2542 เปิดการแสดงทั้งหมด 28 รอบ ทำการแสดงที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ
- ครั้งที่ 5 (ฉายเดี่ยว) 2544 เปิดการแสดงทั้งหมด 30 รอบ ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 6 (ตูดหมึก) 2546 เปิดการแสดงทั้งหมด 43 รอบ ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 7 (เดี่ยว 7) 2551 เปิดการแสดงทั้งหมด 41 รอบ (ไทย 39 รอบ,ซิดนีย์ 2 รอบ) ทำการแสดงที่ โรงภาพยนตร์สกาล่า ความจุ 1,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 7.5 (เชียงใหม่ม่วนขนาด) 2551 เปิดการแสดงทั้งหมด 3 รอบ ทำการแสดงที่ กาดสวนแก้ว เชียงใหม่ ความจุ 2,000 ที่นั่ง
- ครั้งที่ 8 (เดี่ยว 8) ประมาณ ต้นปี 2553


งานเขียน

ทางด้านงานเขียนหนังสือ อุดม แต้พานิช เป็นคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนขายดี (Best Seller) ปัจจุบันนี้หนังสือของ อุดม แต้พานิช มีถึง 20 เล่ม ได้แก่
1. โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 33 ครั้ง)
2. เดี่ยวไมโครโฟน 1 (พิมพ์ซ้ำ 11 ครั้ง)
3. หนังสือโป๊ (พิมพ์ซ้ำ 28 ครั้ง)
4. เดี่ยวไมโครโฟนโชว์ห่วย (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
5. โน้ตบุ๊ค (พิมพ์ซ้ำ 7 ครั้ง)
6. รวมมิตรแต้พานิช (พิมพ์ซ้ำ 21 ครั้ง)
7. ก้นกล่อง (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
8. เดี่ยว 4 (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
9. GU 1 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
10. GU 2 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
11. GU 3 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
12. GU 123 (Garbage of Udom) (พิมพ์ซ้ำ 10 ครั้ง)
13. ฉายเดี่ยว (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
14. หนังสือโป๊xxx (「エロ本」ฉบับญี่ปุ่น) ISBN 9742725543 (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
15. I don’t know (พิมพ์ซ้ำ 1 ครั้ง)
16. a dom นิตยสารแนวล้อเลียนเล่มแรกของเมืองไทย (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
17. ตูดหมึก (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
18. GU 123 (ฉบับญี่ปุ่น) ISBN 9749340043 (พิมพ์ซ้ำ 3 ครั้ง)
19. a dom 2 (พิมพ์ซ้ำ 8 ครั้ง)
20. Domcumentary ในอีกมุมมองหนึ่งของชีวิตที่หลายคนอาจยังไม่รู้ อุดม ในฐานะของนักวาด และการประดิษฐ์สิ่งของที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นขยะแต่กลับเป็นเรื่องท้าทายของเขาที่จะชุบขยะเหล่านั้นให้มีชีวิตจนเกิดเป็นผลงานศิลปะอันสวยงาม หนังสือเล่มนี้จึงรวบรวมผลงานหลากหลายของอุดมที่ชีวิตไม่ได้มีแต่ตลกด้านเดียว

นอกจากจะเป็นนักแสดงตลก และนักเขียนแล้ว อุดม แต้พานิช ยังมีผลงานทาง การแสดงภาพยนตร์เรื่อง กล่อง โดยรับบทเป็นพระเอกซึ่งได้รับค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ HELLO 1800 และวิทยุติดตามตัวEDDY AND THE GANG ผลงานต่างๆ ที่อุดมได้สร้างสรรค์ออกมานั้น ทำให้สื่อมวลชน หลายแขนงได้ยกย่อง อุดม แต้พานิช ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคม

- ปี พ.ศ. 2540 ได้รับเลือกเป็น บุคคลแห่งปีจากคอลัมน์จุดประกายหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- ปี พ.ศ. 2542 หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น : Special issue ได้รับเลือกให้อุดม แต้พานิช

ได้เป็น 1 ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษในสาขาอาชีพการแสดง และในปีเดียวกันนั้นเอง นิตยสาร Hi Class ได้มีการจัด อุดม แต้พานิช ให้เป็น 1 ใน 50 ผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
- ปี พ.ศ. 2549 ได้รับรางวัล คมชัดลึกอวอร์ด 2549 นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อุดม แต้พานิช จากโคตรรักเอ็งเลย


ผลงานนิทรรศการ

- ART? - 2541 จัดที่ ร้านหน้าพระลาน กรุงเทพฯ
- ยาระบาย - 2542 จัดที่ อะเบาท์ คาเฟ่ กรุงเทพฯ
- Udom on Canvas - 2543 จัดที่ รูม เซอร์วิส กรุงเทพฯ
- Voodoo Gudo - 2544 จัดที่ โต๊ะคิม กรุงเทพฯ
- The Painting I Like - 2545 กองดี แกลเลอรี่ เชียงใหม่
- Art Against War - 2546 จัดที่ อุโมงค์ ศิลปะธรรม เชียงใหม่
- Free-dom - 2547 จัดที่ เอกาแกลเลอรี่ เชียงใหม่
- Yokohama Triennale 2005 - 2548 จัดที่ ท่าเรือยามาชิตะ โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น
- Domcumentary - 2549 จัดที่ เจ แกลเลอรี่ เจ-อเวนิว สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ 15) กรุงเทพฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2549
- PLAT FORM new media lab - ผลงานชื่อ Dark Conversation เป็นงานในรูปแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ ซึ่งจัดทำร่วมกับ พรทวีศักดิ์ ริมสกุล จัดที่ หอศิลปวิทยนิทรรศน์ สถาบันวิทยบริการ (หอสมุดกลาง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน - 16 ธันวาคม 2549
- Project Zero - จัดที่ ลานหน้า ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ จัดขึ้นระหว่าง

วันที่ 9 - 14 มิถุนายน 2550
- Myspace - FAT FESTIVEL#7 จัดที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 เมืองทองธานี

วันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2550
- CHANGE - 2551 จัดที่ศูนย์ศิลปะฮอฟอาร์ท (รัชดา 19) กรุงเทพฯ
- No Wall : Art and Friendship - 2551 จัดที่โรงพิมพ์คุรุสภาเก่า กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-30 สิงหาคม 2551
- ขี้เหร่เนะ - 2551 จัดที่ เจ แกลลอรี่ เจ-อเวนิว สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ 15) กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
- แร็พเปอร์ - 2551 จัดที่ แกลลอเรี่ยน เอ็น ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

งานแสดงละครเวที

- ความรักของมาลัยในห้องไอซียู
- บริษัทกำจัดฝันจำกัด
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน
- บ่งหนามออกแล้วบอกรัก - 2535
- ชายกลาง โศกนาฏกรรมในจังหวะแทงโก้ - 2550



งานแสดงภาพยนตร์



- ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ - 2532
- โตแล้วต้องโต๋ - 2535
- กล่อง - 2541
- โคตรรักเอ็งเลย - 2549
- เมล์นรก หมวยยกล้อ - 2550

- อีติ๋มตายแน่ (เขียนบทและแสดงนำ) - 2551

ขบวนการค้ามนุษย์

ขบวนการค้ามนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นการเต็มใจหรือ การล่อลวง จับตัว บังคับไปก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่ากลัวและโหดร้ายมากๆเรื่องราวเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของใครก็ได้ขบวนการค้ามนุษย์เติบโตและเป็นเครือข่ายที่น่าสพรึงกลัวนอกเหนือจากขบวนการค้ายาเสพติด เนื่องจาก "มนุษย์" เป็นสินค้าซึ่งนำไปหาประโยชน์ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะหมดสภาพ หรือเสียชีวิตไป


โดยเฉพาะกับเด็กๆ


จากการจัดแถลงข่าวของ "สถานการณ์เด็กหายในรอบ 4 ปี" ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา



คุณเอกบดินทร์หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กอายุ 0-18 ปี มีสถิติหายมากที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปี 2549 ที่มีคนรู้จักศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มากขึ้น ทำให้ได้รับแจ้งเด็กหายมากถึง 221 ราย

ส่วนในปี 2550 มีจำนวน 169 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากมีความรุนแรงและปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น





อีกทั้งกลุ่มที่ลักพาตัวยังไปแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น เด็กอายุ 13 ปี ให้เป็นโคโยตี้ อายุ 16 ปี ให้ขายบริการทางเพศ ซึ่งเด็กที่หายไปเหล่านี้ศูนย์สามารถติดตามกลับมาได้ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือไร้เบาะแสและข้อมูลในการเชื่อมโยงติดตามหาตัว
แบ่งประเภทการหายเป็น 10 ประเภท การถูกล่อลวงเพื่อทางเพศเป็นสติถิที่มากที่สุด
อายุต่ำสุดคือ 9 ขวบ
ซึ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบตามมาอีกคือ เด็กเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีเด็กบางคนที่สมัครใจออกจากบ้าน เด็กผู้หญิงจะก้าวเข้าสู่อาชีพด้านมืด ส่วนเด็กผู้ชายจะไปสู่เด็กเร่ร่อนและกลายเป็นอาชญากร
ข้ออ้างที่ว่ายังหายไปไม่ครบ 24 ชั่วโมง เป็นตัวขัดขวางในการแจ้งความกับภาครัฐคำว่า 24 ชั่วโมงไม่ได้เป็นตัวบทกฎหมายออกมา เป็นเพียงดุลพินิจที่ควรใช้กับผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ควรใช้กับเด็ก
เคยมีกรณีเด็กอายุ 6 เดือนแล้วหายไป แต่ตำรวจกลับบอกว่ายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง ไม่รับแจ้งความ ซึ่งควรระบุชี้ชัดไปเลยว่า เด็กหายควรจะมีวิธีการตามหาอย่างไร หรือคนหายควรทำอย่างไร ซึ่งบ้านเรายังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเด็กในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
การเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ปกครองหันมาพึ่งศูนย์ข้อมูลคนหายฯ ซึ่งภายใน 1 เดือนศูนย์จะได้รับแจ้งเด็กหายประมาณ 30-40 ราย คิดเป็น 1-2 คนต่อวัน
แม้จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กออกมา แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่

ดังนั้นวิธีป้องกันที่ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายฯ บอกคือ
ประการแรก ต้องให้ความรัก ความอบอุ่น
พูดคุยกันภายในครอบครัว เป็นพื้นฐานอันสำคัญในการป้องกันเด็กหาย
นอกเหนือ จากที่ศูนย์พยายามผลักดันให้เรื่องตามหาเด็กหายเป็นกฎหมายรูปธรรม
นอกจากนี้ จากผลการวิจัยอัตราเด็กหายพบว่าภาคกลางมีอัตราเฉลี่ยสูงถึง 54 เปอร์เซ็นต์
รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิงเป็นเพศที่หายตัวไปมากที่สุดถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงอายุ 11-15 ปีมีมากถึง 62 เปอร์เซ็นต์
และอายุ 16-18 ปี 34 เปอร์เซ็นต์ และประเภทของการสูญหายคือ ถูกล่อล่วงเพื่อทางเพศสูงสุด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการสูญหายของเด็กและเยาวชน มีทั้งปัจจัยจากภายในและภายนอก
ซึ่งปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุด คือ
1. ผู้ปกครองไม่มีเวลาเลี้ยงดูบุตร ไม่มีเวลาได้พูดคุยหรือปรึกษาทำให้เกิดช่องว่างขึ้น
2. กรณีการอาศัยอยู่กับญาติจะมีส่วนในเรื่องของการอบรมเลี้ยงดู การว่ากล่าวสั่งสอนไม่ลึกซึ้งเท่ากับพ่อแม่ เพราะกลัวว่าเด็กจะโกรธเคือง
3. ผู้ปกครองเด็กแยกทางกัน ซึ่งเด็กที่อยู่ในภาวะพ่อแม่คนเดียว จะทำให้เด็กมีปมด้อยกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็ก อาจจะสมัครใจหนีออกจากบ้าน" เอกบดินทร์ กล่าว
ยังมีปัจจัยภายนอก ที่เอกบดินทร์ไม่อยากให้มองข้ามคือสภาพแวดล้อม เช่น การมีโทรศัพท์ใช้ส่วนตัว ช่วงที่มีปัญหากับเพื่อน หรือถูกหลอกจากคนที่เข้ามาตีสนิท เป็นต้น (ในยุคอินเดอร์เน็ท การแช็ทออนไลน์ ก็เข้ามามีส่วนมากและง่ายขึ้น)

บางส่วนจากศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงาผู้สูญหายที่รับแจ้งประจำปี พ.ศ. 2551 ทั้งหมดจำนวน 20 คน พบแล้ว 2 คน ยังดำเนินการค้นหา 18 คน (แสดงหน้าเว็บไซต์จำนวน 2 คน)







ข้อมูลผู้สูญหาย ชื่อ-สกุล : อุไรพร ชุมสงค์ ชื่อเล่น : บี

อายุปัจจุบัน : 12 ปี ( อายุขณะที่หาย 12 ปี )

ลักษณะส่วนตัวที่เด่นชัด
1. รูปร่าง : อ้วน
2. สูงประมาณ : 150 ซม.
3. น้ำหนักประมาณ : 56 กก.
4. ลักษณะทรงผม : สั้นประบ่า
5. สีผิว : ขาว , รูปหน้า : กลม
6. ตำหนิ : แผลเป็นที่หน้าผาก(แผลเย็บ)


ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
1. วันที่หาย : 14 มกราคม พ.ศ.2551
2. วันที่แจ้ง : 16 มกราคม พ.ศ.2551 แจ้งความที่ : สน.ท่าพระ

ข้อมูลส่วนตัว เมื่อ วันที่ 14 ม.ค. 51 น้องบีได้หายตัวออกจากบ้านเวลา 19.00 น. จากบริเวณ ซ.เพชรเกษม 15 บางกอกใหญ่ ท่าพระ น้องบีมีอาการทางสมองไม่สามารถบอกชื่อและที่อยู่ของตนได้ แต่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับบุคคลอื่นได้ น้องบีสวมเสื้อสีแดง กางเกงสามส่วน รองเท้าสีฟ้า






ข้อมูลผู้สูญหาย ชื่อ-สกุล : ชัย วรรณ ชื่อเล่น : เอ๋
อายุปัจจุบัน : 14 ปี ( อายุขณะที่หาย 14 ปี )
ลักษณะส่วนตัวที่เด่นชัด
1. รูปร่าง : ท้วม
2. สูงประมาณ : 158 ซม.
3. น้ำหนักประมาณ : 57 กก.
4. ลักษณะทรงผม : รองทรง
5. สีผิว : , รูปหน้า :
6. ตำหนิ :
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
1. วันที่หาย : 03 มกราคม พ.ศ.2551
2. วันที่แจ้ง : 14 มกราคม พ.ศ.2551 แจ้งความที่ : สน.ห้วยขวาง
ข้อมูลส่วนตัว น้องเอ๋ หายออกจากบ้านบริเวณตลาดห้วยขวาง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2551 ใส่เสื้อสีดำกางเกงผ้าผูก ซึ่งป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ล่าสุดมีคนพบเห็นน้องเอ๋แถว ม.หอการค้า

เบอร์โทรฯฉุกเฉิน เหตุด่วนเหตุร้าย 191
สอบถามเด็กหาย 0 2282 1815 รับแจ้งช่วยเหลือเด็ก 1578
ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา อาคารเลิศปัญญา 41 ชั้น 9 ห้อง 907 ซอยเลิศปัญญา(ซ.ศรีอยุธยา 12)ถนนศรีอยุธยา แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร 0-2642-7991 ต่อ 11 โทรสาร 0-2642-7991 ต่อ 18
E-mail : info@backtohome.org

ส้มตำ


ส้มตำ


ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง

ร้านที่ขายส้มตำ มักจะมีอาหารอีสานอย่างอื่นขายร่วมด้วย เช่น ซุปหน่อไม้ ลาบ ก้อย น้ำตก ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เป็นต้น

ประวัติ

ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้

มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้วและได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย

ส้มตำแบบต่างๆ


*ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู



*ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ





*ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน





*ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน





*ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน



*ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า



*ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด


นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง," กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย," แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง," ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว," และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้




นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

เพลง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงส้มตำ ขึ้นโดยมีการใส่ท่วงทำนองในรูปแบบเพลงลูกทุ่ง และ ขับร้องโดยนักร้องที่มีชื่อเสียงหลายท่านจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย


อนึ่ง เทียรี่ เมฆวัฒนา ได้แต่งเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึง ส้มตำ ในเพลงชื่อ ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งในสมัยสงครามเวียดนาม คำว่า ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก นี้เป็นที่รับรู้กันในสังคมว่าหมายถึงส้มตำ แต่มิใช่เป็นคำเรียกส้มตำในภาษาอังกฤษอย่างที่หลายคนเข้าใจ